แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องเข้าครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 10 ปี แม้ผู้ขายที่พิพาทให้แก่บิดาผู้ร้องมิใช่เจ้าของที่พิพาทก็ตาม แต่เมื่อผู้ร้องมิได้ครอบครองแทนผู้อื่น ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2490 นายโชติละวะเปาระยะบิดาผู้ร้องได้ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งจากนายจู เดือนเพ็ญ ที่ดินแปลงดังกล่าวตั้งอยู่ที่ตำบลหนองซ้ำซากอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 12 ตารางวาโดยในขณะที่ซื้อเข้าใจว่าเป็นที่ดินมือเปล่า แต่ต่อมาภายหลังปรากฏว่าเป็นที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดที่ 3320 ตำบลหนองซ้ำซากอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เมื่อซื้อแล้วบิดาผู้ร้องได้เข้าครอบครองทำประโยชน์และปลูกบ้านอยู่อาศัยโดยความสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. 2504ผู้ร้องได้รับมรดกที่ดินดังกล่าวและเข้าครอบครองทำประโยชน์โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 50 ปีแล้ว ขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ที่ดินดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ที่ดินโฉนดที่ 3320 เลขที่ดินที่ 11 ตำบลหนองซ้ำซาก อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เนื้อที่113 ไร่ 2 งาน 32 ตารางวา เดิมเป็นของนางพลับ ต่อมาเมื่อปีพ.ศ. 2486 นางพลับถึงแก่กรรม นางไน่เฮียะ หรือนันทนา อัครมงคลมารดาผู้คัดค้านเป็นผู้รับมรดกที่ดินแปลงดังกล่าว เมื่อปี พ.ศ. 2490มารดาผู้คัดค้านได้ให้นายโชติ ละวะเปาระยะ บิดาผู้ร้องปลูกบ้านอยู่อาศัยและทำประโยชน์ในที่พิพาท และมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลที่ดินของมารดาผู้คัดค้านด้วย ในปี พ.ศ. 2504 บิดาผู้ร้องถึงแก่กรรมผู้ร้องได้ขออาศัยอยู่ในที่พิพาทและเป็นผู้ดูแลที่ดินให้แก่มารดาผู้คัดค้านต่อจากบิดา ในปี พ.ศ. 2510 มารดาผู้คัดค้านได้ขายที่ดินทั้งแปลงให้แก่นางเม้า สุวรรณพงษ์ ผู้ร้องขออาศัยและรับหน้าที่ดูแลที่ดินให้นางสาวเม้าต่อมาอีก ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. 2519นางสาวเม้าได้ยกที่ดินทั้งแปลงให้แก่ผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านได้ให้ผู้ร้องอยู่อาศัยในที่พิพาทต่อมาจนถึงปัจจุบัน ผู้ร้องไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า ที่ดินโฉนดที่ 3320ตำบลหนองซ้ำซาก อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เฉพาะเนื้อที่3 ไร่ 3 งาน 12 ตารางวา ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางประไพลิมปรุ่งพัฒนกิจ ผู้ร้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ทั้งบิดาผู้ร้องและตัวผู้ร้องเข้าครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โดยเฉพาะผู้ร้องได้ครอบครองที่พิพาทติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 10 ปีแล้ว แม้ผู้ขายที่พิพาทให้แก่บิดาผู้ร้องมิใช่เจ้าของที่พิพาทก็ตาม แต่เมื่อผู้ร้องได้ครอบครองที่พิพาทด้วยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมากว่า 10 ปีโดยมิได้ครอบครองแทนผู้อื่น ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382…”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น