แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาไม่เกินห้าหมื่นบาทต้องห้ามอุทธรณ์และฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยต้องฟังข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับฟังมาตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238ประกอบมาตรา 247 เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทตามโฉนดที่ดินในคดีนี้เป็นของโจทก์ จำเลยฎีกาว่าการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งแม้จะวินิจฉัยให้ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดเลขที่ 35113ของโจทก์โดยขุดดินและปักเสาไม้เนื้อแข็งขึงรั้วลวดหนาม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนเสาไม้และรั้วลวดหนามออกไปจากที่ดินของโจทก์ และปรับแต่งที่ดินของโจทก์ให้อยู่ในสภาพดังเดิม หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์รื้อถอนเองโดยให้จำเลยเป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวน20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับค่าเสียหายอีกปีละ 20,000 บาท ทุกปีไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนและออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยล้อมรั้วลวดหนามบุกรุกหรือรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ โฉนดที่ดินเลขที่ 35113 ของโจทก์รุกล้ำที่ดิน น.ส.3 ก. ที่ 1696 ของจำเลย เป็นการออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมายโจทก์ไม่เสียหายตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนเสาไม้และรั้วลวดหนามออกไปจากที่ดินของโจทก์ พร้อมปรับแต่งที่ดินให้อยู่ในสภาพดีหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์รื้อถอนเองโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวน 800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับค่าเสียหายอีกปีละ 800 บาทจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนเสาและรั้วลวดหนามออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าการดำเนินการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1ไม่ถูกต้องตามระเบียบและไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันทั้งในชั้นอุทธรณ์และในชั้นฎีกาไม่เกินห้าหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่งและ 248 วรรคหนึ่ง โดยลำดับ การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2รับฟังมาตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นตามมาตรา 238 ประกอบด้วยมาตรา 247 ซึ่งศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งรวมถึงที่ดินที่พิพาทกันในคดีนี้ด้วยเป็นที่ดินของโจทก์ ได้ความดังนี้ จึงเห็นว่าถึงแม้จะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ว่าการดำเนินการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ถูกต้องตามระเบียบและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ก็จะไม่ทำให้คำวินิจฉัยตามที่ศาลชั้นต้นฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์มีผลเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลย