แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เอารถของผู้เสียหายไปทิ้งแม่น้ำ เป็นการเอาทรัพย์ไปโดยทุจริตเข้าลักษณะความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว จำเลยเอารถของกลางไปทิ้งแม่น้ำก็เพื่อซ่อนมิให้ติดตามเอารถคืน ไม่พ้นความผิด
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง จำคุก 16 ปี คืนของกลางแก่เจ้าทรัพย์ จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “โจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2519 เวลาประมาณ 17 นาฬิกา นายบุญส่ง ทองสาย ผู้เสียหายขี่รถจักรยานสามล้อซึ่งเช่าซื้อมาจากนางสมร ออกรับจ้างในบริเวณตลาดหล่มสัก ผู้เสียหายขี่รถไปถึงหน้าโรงงานเส้นหมี่ จำเลยที่ 1 ขี่รถจักรยานสามล้ออีกคันหนึ่งตามหลังมาและแซงรถเบียดตัดหน้ารถผู้เสียหาย เป็นเหตุให้รถผู้เสียหายตกลงไปข้างถนนผู้เสียหายต่อว่าจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็ว่า “เย็น ๆ มึงจะต้องเจอดี”แล้วทั้งสองฝ่ายก็แยกกันไป ผู้เสียหายขี่รถรับผู้โดยสารต่อไปจนเวลาประมาณ23.30 นาฬิกา จึงไปจอดรถรอรับผู้โดยสารอยู่ที่หน้าโรงภาพยนตร์โรจนศิลป จำเลยที่ 1 ขี่รถจักรยานสามล้อผ่านรถผู้เสียหายไป มีจำเลยที่ 3 กับชายอีกคนหนึ่งซึ่งผู้เสียหายไม่รู้จักนั่งมาด้วย ต่อจากนั้นประมาณ 30 นาที ชายที่ผู้เสียหายไม่รู้จักนั้นมาว่าจ้างผู้เสียหายไปส่งที่หน้าโรงเลื่อยหลังที่ว่าการอำเภอหล่มสัก ไปถึงหน้าโรงเลื่อย ผู้เสียหายจะหยุดรถ ชายนั้นบอกให้เลยไปอีกหน่อย ผู้เสียหายขี่รถต่อไปอีกประมาณ 10 วา ถึงที่มืดก็หยุดรถ ชายนั้นชักมีดปลายแหลมออกมาจี้หลังผู้เสียหายบังคับให้ขี่รถต่อไปเรื่อย ๆ ช้า ๆ ผู้เสียหายขี่รถต่อไปอีกประมาณ10 วา ถึงหน้าบาร์น้องรักซึ่งเลิกกิจการไปแล้ว ขณะนั้นจำเลยที่ 1 ขี่รถจักรยานสามล้อ มีจำเลยที่ 2 ที่ 3 นั่งมาด้วย แซงปาดหน้ารถผู้เสียหาย ผู้เสียหายหยุดรถแล้วกระโดดลงจากรถ คนร้ายที่นั่งมาในรถผู้เสียหายได้ใช้มีดแทงผู้เสียหายเฉียดชายโครงไปถูกที่ขาขวาเป็นบาดแผลยาวคืบเศษผู้เสียหายวิ่งหนีเข้าไปทางอู่ขายรถยนต์ คนร้ายที่แทงผู้เสียหายและจำเลยที่ 1 ไล่ตามผู้เสียหายไป มีสุนัขในอู่ออกมาเห่า จำเลยที่ 1 กับพวกจึงวิ่งหนีไป หลังจากนั้นผู้เสียหายไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอหล่มสักระบุชื่อจำเลยกับพวกเป็นคนร้าย ร้อยตำรวจเอกวิเชียร พูลทรัพย์ ไปดูที่เกิดเหตุไม่พบรถจักรยานสามล้อของผู้เสียหาย จึงออกติดตามหารถและหาตัวคนร้าย พบจำเลยที่ 1 กำลังนำรถจักรยานสามล้อของจำเลยที่ 1 เข้าบ้านจึงจับกุมตัวไว้ วันรุ่งขึ้นจึงจับกุมจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ และต่อมาอีก1 วัน มีผู้พบรถของผู้เสียหายอยู่ในแม่น้ำป่าสัก” ฯลฯ
“ตามคำเบิกความของผู้เสียหายประกอบด้วยพฤติการณ์แห่งคดีแล้วเชื่อว่าหลังจากที่ผู้เสียหายวิ่งหนีไปแล้ว จำเลยที่ 1 กับพวกได้ร่วมกันเอารถของผู้เสียหายไป ไม่เชื่อว่าจะมีผู้อื่นสวมรอยมาเอารถของผู้เสียหายไป เพราะขณะเกิดเหตุเป็นเวลาดึกมากแล้ว ส่วนข้อที่ว่าคนร้ายเอารถของผู้เสียหายไปทิ้งแม่น้ำจะเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์หรือไม่นั้น เห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวกดังกล่าวเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริตเข้าลักษณะความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว ส่วนจำเลยที่ 1 กับพวกจะเอารถของกลางไปทิ้งแม่น้ำหรือเอาไปไว้ที่อื่นนั้น ก็เพื่อซ่อนเร้นรถของกลางไว้มิให้เจ้าทรัพย์ติดตามเอาคืนซึ่งหาทำให้จำเลยที่ 1 กับพวกพ้นความผิดไปได้ไม่”
พิพากษายืน