คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 960/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยไปอยู่ที่ประเทศอินเดียก่อนโจทก์ฟ้อง โจทก์นำเจ้าพนักงานศาลไปส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยที่บ้านโจทก์ซึ่งเป็นสำนักทำการห้างหุ้นส่วนระหว่างโจทก์จำเลย และคนของโจทก์เป็นผู้รับหมายไว้แทน ตลอดจนมีการปิดหมายนัดพิจารณาที่บ้านดังกล่าวยังไม่พอฟังว่าจำเลยได้ทราบฟ้องและการพิจารณาของศาล
คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวว่า จำเลยไปอยู่ที่ประเทศอินเดียยังมิได้กลับประเทศไทยจึงไม่ทราบการถูกฟ้องและการพิจารณาของศาลถือว่าได้กล่าวถึงเหตุที่ขาดนัดโดยละเอียดชัดแจ้งแล้ว
คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวว่าตามคำให้การที่จำเลยยื่นควรชนะโจทก์ได้ เพราะความจริงเป็นเรื่องโจทก์จำเลยเข้าหุ้นส่วนกันยังไม่เลิก โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินค่าหุ้นคืนถือว่าได้กล่าวถึงข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลแล้ว
พฤติการณ์ที่จำเลยไปอยู่ที่ประเทศอินเดียก่อนโจทก์ฟ้องจนถึงวันที่ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยมายื่นคำขอให้พิจารณาใหม่จำเลยก็ยังมิได้กลับเมื่อจำเลยทราบว่าถูกฟ้อง ก็ทำใบมอบอำนาจต่อกงสุลใหญ่ ณเมืองกัลกัตตา ให้ผู้รับมอบอำนาจมายื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ถือได้ว่ากรณีมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ (อ้างฎีกาที่ 42/2506)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าหุ้นคืนจากจำเลย จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่โจทก์ตามฟ้อง

วันที่ 11 กันยายน 2507 เจ้าพนักงานกองหมายได้นำคำบังคับไปส่งให้แก่จำเลยที่บ้านเลขที่ 701 ตำบลวังบูรพา นายบีเอม ปานเดย์ ได้รับคำบังคับไว้แทน

วันที่ 19 ตุลาคม 2507 จำเลยโดยนายรามลาชันซิงห์ ผู้รับมอบอำนาจได้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ อ้างว่าจำเลยไปกิจธุระที่ประเทศอินเดีย จนบัดนี้ยังไม่กลับไม่ทราบว่าถูกฟ้อง จำเลยควรชนะคดีบ้านเลขที่ 701 เป็นบ้านโจทก์และเป็นสำนักที่ทำการห้างหุ้นส่วนผู้ที่เซ็นรับหมายไว้แทนจำเลยเป็นพวกโจทก์

โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้าน

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งยกคำขอของจำเลย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นยกคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาที่ว่าจำเลยจะขอให้พิจารณาใหม่ได้หรือไม่ว่า จำเลยอ้างว่าไม่ทราบฟ้องและการพิจารณาของศาลโดยจำเลยไปอยู่ที่ประเทศอินเดียก่อนหน้าโจทก์ฟ้อง โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานกองหมายไปส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลยที่บ้านเลขที่ 701 ตำบลวังบูรพาซึ่งจำเลยอ้างว่า ไม่ใช่บ้านที่จำเลยอยู่หรือภูมิลำเนาของจำเลยปรากฏว่าไม่พบจำเลย แต่นายบัง เกศมานี ซึ่งอยู่ในบ้านนั้นเป็นผู้รับแทน ในชั้นพิจารณาสืบพยานโจทก์ฝ่ายเดียว นายบังผู้นี้ได้มาเบิกความเป็นพยานสนับสนุนโจทก์ การส่งหมายนัดพิจารณาคราวต่อมา ตามรายงานการส่งหมายก็ปรากฏว่าไม่พบจำเลย ศาลจึงสั่งปิดหมาย โจทก์มิได้นำสืบหักล้างข้ออ้างของจำเลยว่านายบังมิใช่คนของโจทก์ หรือว่าความจริงจำเลยได้ทราบฟ้องหรือการพิจารณาของศาลมาตั้งแต่เริ่มแรกการส่งหมายและปิดหมายดังกล่าวแล้วจึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยได้ทราบฟ้องหรือการพิจารณาของศาลแล้ว

ที่โจทก์ฎีกาว่า คำขอของจำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดถึงเหตุที่ขาดนัด ทั้งไม่มีข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้น ศาลฎีกาเห็นว่า คำขอของจำเลยได้กล่าวอ้างถึงเหตุที่ขาดนัดไว้แล้วว่า จำเลยไปอยู่ที่ประเทศอินเดีย ยังมิได้กลับประเทศไทย จึงไม่ทราบการถูกฟ้องและการพิจารณาของศาล และยังกล่าวคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลว่า ตามคำให้การของจำเลยที่ยื่นควรชนะโจทก์ได้ เพราะความจริงเป็นเรื่องโจทก์จำเลยเข้าหุ้นส่วนกันยังไม่เลิก โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินค่าหุ้นคืนได้ อันเป็นข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลที่ฟังว่า จำเลยเอาเงินค่าหุ้นของโจทก์ไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย

ที่โจทก์ฎีกาว่า คำขอของจำเลยยื่นเกินกำหนดเวลาที่กฎหมายบังคับ และไม่มีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้อย่างไรนั้นศาลฎีกาฟังว่า จำเลยไปอยู่ที่ประเทศอินเดียตั้งแต่ก่อนฟ้อง จนถึงวันที่ผู้รับมอบอำนาจมายื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ จำเลยก็ยังมิได้กลับคำบังคับก็ได้ส่งที่บ้านเลขที่ 701 เช่นเดียวกับสำเนาฟ้องและหมายนัดพิจารณา ปรากฏว่าจำเลยได้ทำใบมอบอำนาจต่อกงสุลใหญ่ ณ เมืองกัลกัตตาตามคำพยานที่จำเลยนำสืบในชั้นไต่สวนได้ความว่า เมื่อจำเลยทราบการถูกฟ้องก็มอบอำนาจให้ผู้ร้องมายื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ โจทก์มิได้นำสืบโต้เถียงประการใด จึงพอฟังว่า กรณีมีพฤติการณ์นอกเหนือ ไม่อาจบังคับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 เทียบฎีกาที่ 42/2506 และถือว่าพฤติการณ์นอกเหนือที่ว่าได้สิ้นสุดลงในวันที่ 9 ตุลาคม 2507 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยมอบอำนาจนั้น เมื่อผู้รับมอบอำนาจมายื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ในวันที่ 19 เดือนเดียวกันจึงไม่เกินกำหนดคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงถูกต้องตามกฎหมายและมีเหตุสมควรเชื่อว่าจำเลยที่ขาดนัดมาศาลไม่ได้ พิพากษายืน

Share