คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9593/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จำเลยที่ 1 จะได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 19767 โดยอ้างว่าโจทก์นำยึดเกินความจำเป็นแก่การบังคับคดี และโจทก์ยื่นคำคัดค้านไว้แต่ขณะคดีอยู่ระหว่างไต่สวน จำเลยที่ 1 ได้ถอนคำร้องฉบับดังกล่าว คดีจึงไม่มีประเด็นให้ต้องวินิจฉัยว่าโจทก์นำยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เกินความจำเป็นแก่การบังคับคดีหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงและมีคำสั่งให้โจทก์ต้องชำระค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 3 ครึ่ง ของราคาทรัพย์สินทั้งหมดที่ยึด ทั้งที่จำเลยที่ 1 ถอนคำร้องไปแล้วจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา โจทก์คงมีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 3 ครึ่ง จากราคาทรัพย์สินที่ยึด แต่ไม่เกินจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดในการบังคับคดี

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสันคืนแก่โจทก์ในสภาพใช้การได้ดี หากไม่ส่งคืนก็ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ราคาแทน และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหาย พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับชำระค่าเสียหายเดือนละ 3,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถ แต่ไม่เกิน 12 เดือน จำเลยทั้งสองไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน 3 แปลง โฉนดเลขที่ 11343 โฉนดเลขที่ 19766 และ 19767 ของจำเลยที่ 1 ราคาประเมินรวมกัน 7,916,000 บาท จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 27 สิงหาคม 2540 ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการยึดที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 19767 อ้างว่า โจทก์นำยึดเกินความจำเป็นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284 วรรคหนึ่ง โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่าทรัพย์สินที่ยึดทั้งหมดติดภาระจำนองต่อบุคคลภายนอกจึงไม่เป็นการยึดเกินความจำเป็นแก่การบังคับคดี ปรากฏว่าขณะคดีอยู่ระหว่างไต่สวน โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงกันได้จำเลยที่ 1 จึงถอนคำร้อง และโจทก์ยื่นคำแถลงขอถอนการยึดที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่พนักงานบังคับคดีโดยขอวางเงินค่าธรรมเนียมการถอนการยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายในอัตราร้อยละ 3 ครึ่ง ของราคาทรัพย์สินที่ยึด แต่ไม่เกินจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดีของจำเลยที่ 1 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าวในอัตราร้อยละ 3 ครึ่ง จากราคาประเมินรวมกันของทรัพย์สินที่ยึดทั้งหมด

โจทก์ยื่นคำร้องว่า คำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 3 ครึ่งจากราคาทรัพย์สินที่ยึด แต่ไม่เกินจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดีของจำเลยที่ 1

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ยึดทรัพย์สินเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดี มีคำสั่งให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 3 ครึ่ง ของราคาทรัพย์สินที่ยึดตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนด

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า กรณีที่โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีในการยึดทรัพย์สินซึ่งมิใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายในอัตราร้อยละ 3 ครึ่ง โดยคำนวณจากราคาประเมินของทรัพย์สินที่ยึดทั้งหมดตามตาราง 5 ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น จะต้องเป็นกรณีที่โจทก์นำยึดเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดีซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284 วรรคหนึ่ง ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่าแม้จำเลยที่ 1 จะได้ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 27 สิงหาคม 2540 ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 19767 โดยอ้างว่าโจทก์นำยึดเกินความจำเป็นแก่การบังคับคดี และโจทก์ยื่นคำคัดค้านไว้ แต่ขณะคดีอยู่ระหว่างไต่สวน จำเลยที่ 1 ก็ได้ถอนคำร้องฉบับดังกล่าวแล้ว ดังนี้ คดีจึงไม่มีประเด็นให้ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าโจทก์นำยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เกินความจำเป็นแก่การบังคับคดีหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกมารับฟังเป็นข้อเท็จจริงและมีคำสั่งให้โจทก์ต้องชำระค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 3 ครึ่ง ของราคาทรัพย์สินทั้งหมดที่ยึด ทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 1 ถอนคำร้องไปแล้ว จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา โจทก์คงมีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 3 ครึ่ง จากราคาทรัพย์สินที่ยึด แต่ไม่เกินจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดในการบังคับคดีอุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมการยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายในอัตราร้อยละ 3 ครึ่ง ของราคาทรัพย์สินที่ยึด แต่ไม่เกินจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดีของจำเลยที่ 1

Share