แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างบุคคลอื่นขับรถแทรกเตอร์เข้าไปขุดไถที่ดินของโจทก์แล้วปักเสาล้อมรั้วไว้ โดยทำลายเสาไม้ของโจทก์ที่ปักแสดงแนวเขตเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนเสาที่ปักล้อมรั้ว ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องและชดใช้ค่าเสียหาย เป็นการฟ้องขอให้บังคับตามสิทธิเรียกร้องในทางแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อคดีอาญาศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยนำรถแทรกเตอร์เข้าไปขุดร่องน้ำ ปักเสาคอนกรีตและล้อมรั้วในที่ดินพิพาทเพื่อถือการครอบครองและรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์โดยปกติสุข และพิพากษาลงโทษจำเลยฐานบุกรุก คดีถึงที่สุด ก็ย่อมฟังข้อเท็จจริงได้ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 ศาลฎีกาไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นได้ ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท การที่จำเลยนำรถแทรกเตอร์เข้าไปขุดไถปักเสาและล้อมรั้วในที่ดินพิพาท ถือได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 16 หมู่ที่ 3 ตำบลเขาพระงาม อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี เนื้อที่ 2 ไร่ 3 งาน 76 ตารางวา เดิมที่ดินดังกล่าวเป็นของนายแหยม สินป้อง แล้วนายแหยมขายให้นางเทียน ต่อมานางเทียนยกให้แก่โจทก์ประมาณ 30 ปีแล้ว เมื่อระหว่างต้นเดือนมกราคม 2540 ถึงวันที่ 10 มีนาคม 2540 จำเลยได้จ้างวานบุคคลอื่นขับรถแทรกเตอร์เข้าไปขุดไถในที่ดินของโจทก์แล้วปักเสาล้อมรั้วไว้ โดยทำลายเสาไม้ของโจทก์ที่ปักแสดงแนวเขตที่ดินไว้เสียหายคิดเป็นเงิน 500 บาท เพื่อแย่งการครอบครองที่ดินจากโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนเสาที่จำเลยบุกรุกเข้าไปปิดล้อมอาณาเขตที่ดินของโจทก์และส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสาไม้ของโจทก์เป็นเงิน 500 บาท และค่าเสียหายจากการเข้าครอบครองที่ดินของโจทก์ปีละ 5,000 บาท แก่โจทก์นับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อปี 2487 นายไพบูลย์ โลบุญเลิศ บิดาจำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากจ่าอากาศโทเชื้อ หนูเพ็ชร แล้วครอบครองตลาดมาจนถึงปี 2505 จึงยกให้จำเลย จำเลยครอบครองต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน และเคยให้บุคคลอื่นเช่าทำนา โจทก์มิได้เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท ที่พิพาทด้านทิศใต้จดที่ดินของบุคคลอื่นมิใช่จดที่ดินของนางเทียน น้อยพันธ์ มารดาโจทก์ นางเทียบไม่เคยยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ จำเลยไม่เคยทำลายเสาไม้ของโจทก์ โจทก์ไม่เคยปักเสาไม้ในที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า ที่ดินพิพาทตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลเขาพระงาม อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ตามพื้นที่ภายในกรอบเส้นสีแดงของแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.ล.1 ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาฐานบุกรุกที่ดินพิพาทและทำให้เสียทรัพย์ คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำเลยฐานบุกรุก ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9367/2546
ที่โจทก์ฎีกาว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 9367/2546 ของศาลฎีกา ซึ่งฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยจ้างบุคคลอื่นขับรถแทรกเตอร์เข้าไปขุดไถที่ดินของโจทก์แล้วปักเสาล้อมรั้วไว้ โดยทำลายเสาไม้ของโจทก์ที่ปักแสดงแนวเขตที่ดินของโจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนเสาที่ปักล้อมรั้ว ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ อันเป็นการฟ้องขอให้บังคับตามสิทธิเรียกร้องในทางแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 9367/2546 ของศาลฎีกา ซึ่งมีประเด็นข้อพิพาทโดยตรงเป็นประเด็นเดียวกันว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ เมื่อคดีอาญาศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยนำรถแทรกเตอร์เข้าไปขุดร่องน้ำ ปักเสาคอนกรีตและล้อมรั้วในที่ดินพิพาทเพื่อถือการครอบครองและรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์โดยปกติสุข และพิพากษาลงโทษจำเลยฐานบุกรุก คดีถึงที่สุด ก็ย่อมฟังข้อเท็จจริงได้ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ หาใช่ยังมิได้มีคำวินิจฉัยไว้ชัดแจ้งว่าเป็นที่ดินของโจทก์ดังคำแก้ฎีกาของจำเลยไม่ ดังนั้น ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ศาลฎีกาไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นได้ ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท การที่จำเลยนำรถแทรกเตอร์เข้าไปขุดไถปักเสาและล้อมรั้วในที่ดินพิพาทของโจทก์โดยปกติสุข ถือได้ว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์”
พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อถอนเสาที่จำเลยใช้ปิดล้อมอาณาเขตที่ดินของโจทก์และส่งมอบที่ดินพิพาทคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 15,500 บาท แก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 2,000 บาท