คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5689/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า ว. เป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท ว. ถึงแก่ความตาย โจทก์ในฐานะทายาท ว. เนื่องจากเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นผู้สืบสิทธิในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท อ. บุตรเลี้ยงของโจทก์นำโฉนดที่ดินพิพาทไปวางเป็นประกันเงินกู้ไว้แก่จำเลยในขณะที่ ว. ยังมีชีวิตอยู่โดยมิได้รับความยินยอมจาก ว. เป็นการไม่ชอบ จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินพิพาท ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาท เป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดแล้ว แม้ฟ้องโจทก์จะมิได้บรรยายว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งหมดหรือเป็นเจ้าของร่วมในสัดส่วนเท่าใด ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์อาจนำสืบให้ปรากฏในชั้นพิจารณา ไม่ต้องกล่าวในฟ้อง ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องเรียกโฉนดที่ดินพิพาทคืน โดยอ้างสิทธิในฐานะเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นทายาทของผู้ตาย จำเลยยึดถือโฉนดที่ดินพิพาทไว้โดยไม่มีสิทธิ เมื่อโจทก์ทวงถามให้จำเลยคืนโฉนดดังกล่าวแก่โจทก์แล้ว จำเลยเพิกเฉย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในฐานะเป็นทายาทผู้สืบสิทธิในที่ดินพิพาท โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางวารินทร์ เสาสูง ซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2544 ต่อมาประมาณปลายปี 2548 โจทก์ทราบว่านายอนุรักษ์ มินพิมาย บุตรเลี้ยงของโจทก์ได้นำต้นฉบับโฉนดที่ดินเลขที่ 243449 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนางวารินทร์ไปวางเป็นประกันการกู้ยืมเงินไว้กับจำเลยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางวารินทร์ จึงถือว่าจำเลยยึดถือโฉนดที่ดินพิพาทโดยไม่มีสิทธิ โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 243449 ตำบลสำโรงใต้ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ส่งมอบหรือส่งมอบไม่ได้ให้โจทก์นำคำพิพากษาของศาลไปแสดง ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาพระประแดงออกใบแทนโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าว
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายโดยชัดแจ้งแห่งข้อหาว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องโฉนดที่ดินพิพาทโดยอ้างมูลเหตุใดและจำเลยมิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 243449 เลขที่ดิน 96 หน้าสำรวจ 10953 ตำบลสำโรงใต้ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ คืนให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวอ้างว่า โจทก์เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางวารินทร์ เสาสูง นางวารินทร์เป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท นางวารินทร์ถึงแก่ความตายด้วยเหตุแผลเลือดออกในลำไล้ใหญ่ โจทก์ในฐานะทายาท เนื่องจากเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นผู้สืบสิทธิในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท นายอนุรักษ์ มินพิมาย บุตรเลี้ยงของโจทก์นำโฉนดที่ดินพิพาทไปวางเป็นประกันเงินกู้ไว้แก่จำเลยในขณะที่นางวารินทร์ยังมีชีวิตอยู่โดยมิได้รับความยินยอมจากนางวารินทร์เป็นการไม่ชอบ จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินพิพาท ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทนั้นเป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว แม้ฟ้องโจทก์จะมิได้บรรยายว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งหมดหรือเป็นเจ้าของร่วมในสัดส่วนเท่าใด ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์อาจนำสืบให้ปรากฏในชั้นพิจารณา หาจำต้องกล่าวในฟ้องดังที่จำเลยอุทธรณ์ไม่ ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ประเด็นข้อสองตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องอ้างสิทธิในการเรียกโฉนดที่ดินพิพาทคืน โดยมีสิทธิในฐานะเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นทายาทของผู้ตาย แต่จำเลยยึดถือโฉนดที่ดินพิพาทไว้โดยไม่มีสิทธิ เมื่อโจทก์ทวงถามให้จำเลยคืนโฉนดดังกล่าวแก่โจทก์แล้ว จำเลยเพิกเฉย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในฐานะเป็นทายาทผู้สืบสิทธิในที่ดินพิพาท โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยอ้างมาในอุทธรณ์ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้”
พิพากษายืน เฉพาะค่าทนายความในศาลชั้นต้นกำหนดให้ 3,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share