คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1591/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาเช่านาทำก่อนใช้ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่านา เจ้าของนาบอกเลิกเมื่อใช้ พระราชบัญญัติ แล้ว โดยบอกเลิกก่อนฤดูทำนา 2 เดือน เพื่อเข้าทำนาเองได้ โดยไม่จำต้องให้ผู้เช่านายินยอม คำเปรียบเทียบของกรมการอำเภอให้ผู้เช่าทำนาต่อไป ไม่ผูกมัดเจ้าของผู้ให้เช่านา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่นาแปลงหนึ่ง เนื้อที่ 14 ไร่ 3 งาน 44 วา ตกลงให้จำเลยเช่าทำด้วยวาจาปีต่อปี คือ หมดฤดูทำนาก็ต้องตกลงกันใหม่เสมอมาตั้งแต่ พ.ศ. 2491 ถึง พ.ศ. 2494 คิดค่าเช่าเป็นข้าวเปลือก ในปี พ.ศ. 2495 โจทก์ประสงค์จะทำนาเองจึงได้บอกเลิกสัญญาเช่าให้จำเลยทราบก่อนฤดูทำนากว่า 2 เดือนแต่จำเลยกลับบังอาจบุกรุกเข้าไปทำนาเสียทั้งแปลง โจทก์ไปร้องต่อกรมการอำเภอเมืองเพชรบุรี กรมการอำเภอเปรียบเทียบให้จำเลยทำนาของโจทก์ได้ต่อไปอีก จึงขอให้ขับไล่จำเลยพร้อมกับบริวารออกไปจากที่นาของโจทก์ ห้ามไม่ให้เกี่ยวข้อง

จำเลยให้การต่อสู้ว่า ได้เช่านาของโจทก์ไปตั้งแต่ พ.ศ. 2491มิได้กำหนดระยะเวลากันไว้ว่าช้านานเพียงใด ได้ข้าวเท่าใดก็แบ่งครึ่งกันไม่มีค่าเช่าค้าง เมื่อ พ.ศ. 2494 จำเลยได้ส่งค่าเช่าให้โจทก์ไร่ละ 10 ถัง ตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่านาในอัตราสูง แต่โจทก์ไม่พอใจโจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญากับจำเลย ถึงหากโจทก์จะบอกเลิกสัญญาแต่จำเลยไม่ยินยอม โจทก์เลิกสัญญาฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่านาฯ โจทก์จะทำนาเองนั้นไม่จริง จำเลยเข้าทำโดยถือสิทธิตามสัญญาเช่า

ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย โดยเห็นว่า ข้อตกลงเช่ากันนั้นมีผลเพียงชั่วระยะปีทำนา เมื่อสิ้นฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว สัญญานั้นก็เป็นอันยุติ จำเลยเข้าทำนาใน พ.ศ. 2495 มิใช่เป็นการเช่าตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่านา การกระทำของจำเลยเป็นละเมิดต่อโจทก์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่นาของโจทก์ห้ามมิให้เกี่ยวข้อง แต่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาเห็นต้องกันว่า จำจะต้องฟังคำพยานทั้งสองฝ่ายก่อน พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้ดำเนินการพิจารณาต่อไป และพิพากษาใหม่

บัดนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า คำพยานหลักฐานโจทก์ไม่อาจจะฟังได้ว่า โจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้วก่อนฤดูทำนาตามฟ้องโจทก์จึงไม่มีสิทธิอันต้องด้วยข้อยกเว้นตาม มาตรา 10(5) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่านา พ.ศ. 2493 ที่จะให้ผู้เช่าเลิกใช้หรือเลิกรับประโยชน์จากนาที่เช่าได้ พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาได้ความตามที่โจทก์นำสืบว่า เมื่อปีมะโรง เดือน 4 ขึ้น 11 ค่ำ (ที่ถูกขึ้น 10 ค่ำ) โจทก์ได้มอบหนังสือบอกเลิกสัญญาการเช่าให้นายเกิน นายคล้ายนำไปให้จำเลยพร้อมกับคนทั้งสองนี้ไปเก็บข้าว ซึ่งเป็นค่าเช่าจากจำเลยด้วยครั้นวันขึ้น 14 ค่ำ เดือนเดียวกัน จำเลยไปหาโจทก์จะขอทำนาอีกโจทก์ไม่ยอมโดยจะทำนาเองจำเลยก็กลับไป ครั้นเดือน 6 ข้างแรมจำเลยเข้าทำนาของโจทก์ ๆ ให้คนไปห้ามและไปร้องต่ออำเภอ

ฝ่ายจำเลยนำสืบว่า ค่าเช่าปี พ.ศ. 2494 จำเลยชำระให้โจทก์140 ถัง โดยมอบให้นายเกิน นายคล้ายที่ทำนบปากคลองบางจากเมื่อเดือน 3 แรม 8 ค่ำ นายเกิน นายคล้ายไม่ได้ส่งจดหมายอะไรให้จำเลยครั้นเดือนพฤษภาคม 2495 จำเลยก็เริ่มตกกล้าเพื่อทำนาเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2495 จำเลยพบนายดี สามีโจทก์ที่อำเภอนายดีบอกจำเลยว่าไม่ให้ทำนา โดยจะเอาไปให้นายสินเช่า จำเลยว่าตกกล้าไว้แล้วไม่ยอมเลิก

ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์คำพยานทั้งสองฝ่ายแล้วเชื่อว่า โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่านาจากจำเลยแล้วก่อนฤดูทำนากว่า 2 เดือน โดยโจทก์จะทำนาเอง โจทก์มีสิทธิขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่นาของโจทก์ได้ จึงพิพากษากลับให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่นาของโจทก์ห้ามไม่ให้เกี่ยวข้องต่อไป

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาปรึกษาคดีนี้แล้ว ได้ความพอฟังในเบื้องต้นว่า จำเลยได้เช่าที่นาพิพาทของโจทก์ทำมาตั้งแต่ พ.ศ. 2491 ก่อนวันที่ 4 พฤษภาคม 2494 ซึ่งเป็นวันประกาศบังคับใช้พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่านา พ.ศ. 2493 ในจังหวัดเพชรบุรี ตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า สัญญาเช่านารายใด ซึ่งได้ทำไว้ก่อนวันประกาศพระราชกฤษฎีกา ไม่มีกำหนดเวลา หรือมีกำหนดเวลาแต่ต่ำกว่า5 ปี ถ้าผู้เช่าประสงค์จะเช่าต่อไป ให้สัญญาเช่ารายนั้นมีอายุต่อไปได้ไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันประกาศพระราชกฤษฎีกา แต่โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จะทำนาเอง และได้บอกเลิกสัญญาเช่าก่อนฤดูทำนา พ.ศ. 2495 เป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้ว อันเป็นข้อยกเว้น ซึ่งบัญญัติไว้ใน มาตรา 10(5) จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่า ทั้งโจทก์ไม่ได้ทำนาเองเมื่อพิเคราะห์คำพยานทั้งสองฝ่ายโดยตลอดแล้วเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ว่าคดีควรเชื่อว่า โจทก์ต้องการจะทำนาของตนเอง และได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแล้ว ก่อนที่จำเลยลงมือทำนาใน พ.ศ. 2495 เพราะโจทก์มีพยานเบิกความประกอบมั่นคง นายเกิน นายคล้ายเป็นคนนำจดหมายบอกเลิกสัญญาเช่าไปส่งให้จำเลย เมื่อไปเก็บค่าเช่านาแทนโจทก์ จำเลยก็รับว่า นายเกินนายคล้ายไปเก็บค่าเช่านาจากจำเลยจริงแต่ปฏิเสธว่า ไม่ได้รับจดหมายจากนายเกิน นายคล้ายเท่านั้น แม้นายพูนปลัดอำเภอ พยานจำเลยก็เบิกความรับรองว่า ตามคำพยานโจทก์ในชั้นอำเภอให้การว่า โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยทางจดหมายแล้วจึงหาใช่เพิ่มมากล่าวอ้างในชั้นศาลไม่ จำเลยนำสืบว่า โจทก์เอานาไปให้นายสินเช่าทำ โดยทราบจากนายสินเอง แต่นายสินเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ได้ทำนาพิพาทในฐานะเป็นลูกจ้างโจทก์ คำพยานจำเลยในข้อนี้จึงฟังเป็นประมาณมิได้ข้อที่จำเลยคัดค้านว่า การบอกเลิกสัญญาเช่าจำจะต้องได้รับความยินยอมจากจำเลยก่อนก็ดี ในชั้นอำเภอเปรียบเทียบให้จำเลยคงได้เช่านาต่อไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องก็ดีย่อมฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้นเพราะการบอกเลิกสัญญาให้เช่านา ซึ่งไม่มีกำหนดเวลาอย่างที่จำเลยเถียง โดยจะเข้าทำนาของตนเองไม่มีกฎหมายบังคับว่า จำจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้เช่าก่อน ส่วนคำเปรียบเทียบของกรมการอำเภอให้จำเลยคงเช่านาทำต่อไป เมื่อโจทก์ไม่เห็นชอบด้วยก็ไม่ผูกมัดว่าโจทก์จะต้องยอมตามคำเปรียบเทียบนั้น การที่จำเลยยังขืนเข้าทำนาของโจทก์ หลังจากได้รับคำบอกเลิกสัญญาเช่าแล้วก่อนฤดูทำนากว่า2 เดือน โดยโจทก์จะทำนาเอง โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่ได้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว

จึงให้ยกฎีกาจำเลย โดยพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยเสียค่าทนายความในชั้นนี้แทนโจทก์เป็นเงิน 50 บาท

Share