คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5297/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมมีข้อความว่า จำเลยทั้งสองยอมชำระเงิน 500,000 บาท แก่โจทก์ ตกลงผ่อนชำระเป็นรายเดือนโดยนำเงินมาวางศาลเดือนละไม่น้อยกว่า 4,000 บาท ทกุเดือนติดต่อกัน เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 งวดต่อไปชำระทุกวันที่ 22 ของเดือน โดยจะชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 8 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัด 2 งวดโดยไม่จำต้องติดต่อกันให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที คำพิพากษาตามยอมดังกล่าวได้กำหนดวันและจำนวนหนี้ที่ต้องชำระไว้แน่นอน ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่นำเงินมาวางศาลภายในกำหนดถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ผิดนัดไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำพิพากษา แม้ว่าโจทก์จะมาขอรับเงินที่จำเลยที่ 2 นำมาวางศาลภายหลังที่ผิดนัดแล้วก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 2 พ้นจากการเป็นผู้ผิดนัดโจทก์จึงขอให้บังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ได้ทันที

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ฐานผิดสัญญา ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้ยืมเงินโจทก์และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาโจทก์และจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยทั้งสองยอมชำระเงิน 500,000 บาท แก่โจทก์ ตกลงผ่อนชำระเป็นรายเดือนโดยนำเงินมาวางศาลเดือนละไม่น้อยกว่า 4,000 บาท เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 งวดต่อไปชำระทุกวันที่ 22 ของเดือน และจะชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 8 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัด 2 งวด โดยไม่จำต้องติดต่อกันให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีจากยอดหนี้ที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินที่ค้างชำระนับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม
ต่อมาวันที่ 27 มิถุนายน 2546 โจทก์ยื่นคำขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองโดยอ้างว่า จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่นำเงินมาวางศาลเพื่อผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ภายในวันที่ 22 ของเดือนตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยในเดือนมกราคม 2546 วางศาลเมื่อวันที่ 27 เดือนกุมภาพันธ์ 2546 วางศาลเมื่อวันที่ 25 เดือนมีนาคม 2546 วางศาลเมื่อวันที่ 28 เดือนพฤษภาคม 2546 วางศาลเมื่อวันที่ 23 และเดือนมิถุนายน 2546 วางศาลเมื่อวันที่ 26 ซึ่งเป็นการผิดนัดมากกว่า 2 งวด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า แม้จำเลยที่ 2 นำเงินมาวางศาลผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปบ้างแต่ได้ชำระดอกเบี้ยในส่วนที่ผิดนัดแล้ว จึงยังไม่เห็นสมควรออกหมายบังคับคดี
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ได้หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์และจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมโดยสัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อสำคัญว่า จำเลยทั้งสองยอมชำระเงิน 500,000 บาท แก่โจทก์ ตกลงผ่อนชำระเป็นรายเดือนโดยนำเงินมาวางศาลเดือนละไม่น้อยกว่า 4,000 บาท ทุกเดือนติดต่อกัน เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 งวดต่อไปชำระทุกวันที่ 22 ของเดือน โดยจะชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 8 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัด 2 งวด โดยไม่จำต้องติดต่อกันให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีจากยอดหนี้ที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินที่ค้างชำระนับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวได้กำหนดวันและจำนวนหนี้ที่ต้องชำระไว้แน่นอน ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ไม่นำเงินมาวางศาลภายในกำหนดก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ผิดนัดไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำพิพากษา แม้ว่าโจทก์จะมาขอรับเงินที่จำเลยที่ 2 นำมาวางศาลภายหลังที่ผิดนัดแล้วก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 2 พ้นจากการเป็นผู้ผิดนัด โจทก์จึงขอให้บังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ทันที ที่จำเลยที่ 2 อ้างว่า เมื่อจำเลยที่ 2 ผิดนัดแล้วแต่โจทก์ยังยอมรับชำระหนี้ โจทก์จึงไม่อาจขอให้ออกหมายบังคับคดีได้ ต้องรอให้จำเลยที่ 2 ผิดนัดอีกครั้งและโจทก์ต้องไม่ยอมรับชำระหนี้จากจำเลยที่ 2 นั้น ไม่มีกฎหมายใดสนับสนุนข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share