คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11982/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่แพทย์ลงความเห็นตามผลการชันสูตรบาดแผลเอกสารท้ายฟ้องว่า ผู้เสียหายรักษาตัวในโรงพยาบาลระหว่างวันที่ 3 เมษายน ถึงวันที่ 12 เมษายน 2554 และเห็นควรได้รับการรักษาประมาณสองสัปดาห์ทุเลา แสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายต้องป่วยเจ็บเป็นเวลาเกินกว่า 20 วัน ซึ่งรวมถึงอาจป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้ด้วย ดังนั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินยี่สิบวันและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันนั้น จึงเป็นการบรรยายฟ้องที่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ประกอบพ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 แล้ว ทั้งผู้เสียหายจะป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวันหรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงซึ่งเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 299, 371, 379 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299 (ที่ถูก มาตรา 299 วรรคแรก) ประกอบมาตรา 83 และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 377 (ที่ถูก มาตรา 371), 379 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษจำเลยทั้งสามฐานร่วมกันเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปและมีผู้ได้รับอันตรายสาหัส จำคุกคนละ 6 เดือน ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับคนละ 100 บาท และฐานชักหรือแสดงอาวุธในการวิวาทต่อสู้ จำคุกคนละ 10 วัน รวมลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำคุกคนละ 6 เดือน 10 วัน และปรับคนละ 100 บาท จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 3 เดือน 5 วัน และปรับคนละ 50 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 3 เดือน หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน แต่ให้ริบอาวุธมีดของกลาง
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการแรกว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงตามใบรับรองแพทย์กับใบนำส่งผู้บาดเจ็บให้แพทย์ตรวจชันสูตรท้ายฟ้อง นายเอกวิทย์ ผู้เสียหายเข้ารับการรักษาเพียง 10 วันและแพทย์ลงความเห็นว่าควรได้รับการรักษาประมาณสองสัปดาห์ เป็นเพียงความเห็นของแพทย์ซึ่งไม่แน่นอน อีกทั้งผู้เสียหายยื่นคำร้องว่า ผู้เสียหายรักษาบาดแผลประมาณ 10 วัน กรณียังถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ฟ้องโจทก์จึงขาดองค์ประกอบความผิดนั้น เห็นว่า การที่แพทย์ลงความเห็นตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลเอกสารท้ายฟ้องว่า ผู้เสียหายรักษาตัวในโรงพยาบาลระหว่างวันที่ 3 เมษายน ถึงวันที่ 12 เมษายน 2554 และเห็นควรได้รับการรักษาประมาณสองสัปดาห์ทุเลา แสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายต้องป่วยเจ็บเป็นเวลาเกินกว่า 20 วัน ซึ่งรวมถึงอาจป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้ด้วย ดังนั้นการที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินยี่สิบวันและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันนั้น จึงเป็นการบรรยายฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (5) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 แล้ว ทั้งผู้เสียหายจะป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวันหรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงซึ่งเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา แม้ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องว่ารักษาบาดแผลประมาณ 10 วัน ก็ยังฟังข้อเท็จจริงไม่ได้ตามนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้องว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินยี่สิบวันและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า มีเหตุที่รอการลงโทษจำคุกให้แก่ จำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 เข้าร่วมชุลมุนต่อสู้ทำร้ายร่างกายกันในบริเวณงานแสดงดนตรี เป็นการกระทำที่อุกอาจและไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องที่ร้ายแรง จำเลยที่ 1 มิได้ประสงค์ที่จะบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้นแก่ผู้เสียหายอย่างจริงจังตั้งแต่แรก เพียงชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายเพื่อหวังผลทางคดีเท่านั้น และจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในทางแพ่งชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายอยู่แล้ว ส่วนที่ผู้เสียหายยื่นคำร้องว่าไม่ติดใจเอาความทั้งทางแพ่งและทางอาญาแก่จำเลยที่ 1 นั้น ก็เป็นการยื่นในระหว่างฎีกาและผู้เสียหายเพิ่งมาขอรับเงินที่จำเลยทั้งสามวางต่อศาลชั้นต้นในวันที่ยื่นคำร้องดังกล่าว ส่อแสดงว่าผู้เสียหายประสงค์ที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ไม่ให้ต้องรับโทษเท่านั้น และการที่จำเลยที่ 1 ประกอบคุณความดีเสียสละเพื่อประเทศชาติ มีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัว กับไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนก็เป็นเหตุผลส่วนตัวของจำเลยที่ 1 กรณียังไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน

Share