คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1012/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ร่วมแบ่งที่พิพาทให้แก่จำเลย แล้วจำเลยนำที่พิพาทมาขายคืนให้แก่โจทก์ร่วม ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจำหน่ายจ่ายโอนซึ่งสิทธิอันหากจะมีภายหน้าในการสืบมรดกผู้ที่มีชีวิตอยู่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1619 หนังสือสัญญาการซื้อขายจึงตกเป็นโมฆะ เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่อาจรับฟังได้โดยแน่ชัดว่าโจทก์ร่วมมีสิทธิครอบครองที่พิพาทแต่ผู้เดียว ที่พิพาทยังคงเป็นมรดกของ พ.การที่จำเลยซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งของพ. มีสิทธิรับมรดกแทนที่ ป. ผู้เป็นมารดา เข้ายึดถือครอบครองในที่พิพาทจึงเป็นเพียงโต้แย้งสิทธิโจทก์ร่วมในทางแพ่ง ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานบุกรุก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกบ้านและถากถาง ขุดดินในที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 4562 ซึ่งเป็นของนายหมื่นผู้เสียหาย เพื่อถือการครอบครองที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายบางส่วน อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข ทั้งนี้ โดยจำเลยมีมีดพร้าเป็นอาวุธขู่เข็ญว่าจะใช้ประทุษร้ายผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362, 365, 33 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายหมื่น ตลับนาค ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3) ประกอบด้วยมาตรา 362 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี คืนมีดพร้าของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้นำสืบโต้แย้งกันฟังได้ว่า นายแพ นางหมา บิดามารดาของโจทก์ร่วมมีบุตร 4 คนคือ 1. นายพันธ์ 2. นางปาน 3. นางแหวน และ 4. โจทก์ร่วมนางปานมีบุตร 4 คน คือ 1. นางสมร 2. จำเลย 3. นายอุทัยและ 4. นายสนิท เดิมที่ดินตาม น.ส.3 ก. (ซึ่งมีที่พิพาทรวมอยู่ด้วย) เป็นของนายแพบิดาโจทก์ร่วมและนางปาน นายแพถึงแก่ความตายเมื่อปี 2526 นางปานมารดาจำเลยถึงแก่ความตายก่อน นายแพหลังจากนางปานถึงแก่ความตายจำเลยอาศัยอยู่กับโจทก์ร่วมตลอดมาจนกระทั่งมีภริยาจึงย้ายไปอยู่อำเภอเกษตรสมบูรณ์ ต่อมาจำเลยกลับมาปลูกกระท่อมและต้นไม้ในที่พิพาท คดีมีปัญหาว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์ร่วมเป็นพยานเบิกความว่า หลังจากนายแพถึงแก่ความตายแล้วพี่น้องของโจทก์ร่วมไม่มีผู้ใดต้องการที่ดินแต่เอาเงินค่าที่ดินจากโจทก์ร่วมแทน โจทก์ร่วมแบ่งที่ดินให้แก่บุตรของนางปานทุกคน สำหรับจำเลยนำที่พิพาทที่โจทก์ร่วมแบ่งให้มาขายคืนให้แก่โจทก์ร่วมในราคา 12,000 บาท ตามสำเนาหนังสือสัญญาการซื้อขาย ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญาซื้อขายทำตั้งแต่วันที่3 สิงหาคม 2524 ก่อนนายแพถึงแก่ความตายถึง 2 ปี ในสัญญาก็ไม่ได้ระบุโดยแจ้งชัดว่าที่ดินตามสัญญาคือที่พิพาท ทั้งนายชิด ปลื้มญาติพยานโจทก์ผู้ทำหนังสือสัญญาการซื้อขายก็ไม่ได้ยืนยันว่า ที่ดินตามสัญญาคือที่พิพาท น่าเชื่อว่าที่ดินที่จำเลยทำสัญญาขายให้แก่โจทก์ร่วมเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่พิพาท จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยนำที่พิพาทมาขายคืนให้แก่โจทก์ร่วม อย่างไรก็ตามแม้จะฟังได้ว่าโจทก์ร่วมแบ่งที่พิพาทให้แก่จำเลย แล้วจำเลยนำที่พิพาทมาขายคืนให้แก่โจทก์ร่วม ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจำหน่ายจ่ายโอนซึ่งสิทธิอันหากจะมีในภายหน้าในการสืบมรดกผู้ที่มีชีวิตอยู่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1619 หนังสือสัญญาการซื้อขายจึงตกเป็นโมฆะ เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่อาจรับฟังได้โดยแน่ชัดว่า โจทก์ร่วมมีสิทธิครอบครองที่พิพาทแต่ผู้เดียวที่พิพาทยังคงเป็นมรดกของนายแพ การที่จำเลยซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งของนายแพมีสิทธิรับมรดกแทนที่นางปานผู้เป็นมารดา เข้ายึดถือครอบครองในที่พิพาท จึงเป็นเพียงโต้แย้งสิทธิโจทก์ร่วมในทางแพ่งฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานบุกรุก
พิพากษายืน

Share