คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1046/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องอ้างว่า ทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้และขายทอดตลาดเป็นของผู้ร้องทั้งสอง โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์ของผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและดำเนินการขายทอดตลาดโดยผู้ร้องทั้งสองไม่รู้เห็นมาก่อน การบังคับคดีจึงกระทำไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามคำร้องเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ ขอให้ยกกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงเกี่ยวกับการบังคับคดีครั้งนี้ อันมีความมุ่งหมายเพื่อได้รับผลที่จะให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปล่อยทรัพย์ที่ยึดคืนให้แก่ผู้ร้องทั้งสองไปในที่สุด จึงเป็นกรณีที่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะในเรื่องร้องขัดทรัพย์นั่นเอง มิใช่เป็นการยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยกกระบวนวิธีการบังคับคดีตามมาตรา 296 วรรคสอง ประกอบมาตรา 27 และการจะให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปล่อยทรัพย์ที่ยึดคืนให้แก่ผู้ร้องทั้งสองได้นั้น ตามมาตรา 288 วรรคแรกก็กำหนดให้ยื่นคำร้องขอต่อศาลก่อนเอาทรัพย์ออกขายทอดตลาด ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงาน-บังคับคดีได้ทำการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไปก่อนแล้ว ผู้ร้องทั้งสองจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องนี้ได้

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้แก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเรือน ๒ หลัง เลขที่ ๒๒ และ ๗๔ ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ยึดดังกล่าว และศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้ขายทรัพย์สินที่ยึดแก่ผู้ให้ราคาสูงสุดและจ่ายเงินที่เหลือจากหักค่าธรรมเนียมของเจ้าพนักงานบังคับคดีให้แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้รับไปแล้ว
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า เรือนเลขที่ ๒๒ เป็นของผู้ร้องที่ ๑จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่เจ้าของเรือนเลขที่ ๒๒ ดังกล่าว ส่วนเรือนเลขที่ ๗๔ เป็นของนางสีจันโสดา ผู้ตาย ผู้ร้องที่ ๒ เป็นผู้จัดการมรดกของนางสีตามคำสั่งของศาลชั้นต้น จำเลยที่ ๒ ไม่ใช่เจ้าของเรือนเลขที่ ๗๔ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดเรือนทั้ง ๒ หลัง ขอให้ยกกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงเกี่ยวกับการบังคับคดีครั้งนี้
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องทั้งสองฎีกาขอให้รับคำร้องของผู้ร้องทั้งสองไว้ไต่สวนและมีคำสั่งต่อไป โดยอ้างว่าทรัพย์ที่ขายทอดตลาดเป็นของผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลไม่รู้เห็นในการยึดทรัพย์และการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ การขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ร้องทั้งสองมีอำนาจที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยกกระบวนวิธีการบังคับคดีดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๖ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๗ พิเคราะห์แล้ว ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องอ้างว่า ทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้และขายทอดตลาดนั้นเป็นของผู้ร้องทั้งสอง โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์ของผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและดำเนินการขายทอดตลาดโดยผู้ร้องทั้งสองไม่รู้เห็นมาก่อนการบังคับคดีจึงกระทำไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า ตามคำร้องของผู้ร้องทั้งสองเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ขอให้ยกกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงเกี่ยวกับการบังคับคดีครั้งนี้ อันมีความมุ่งหมายเพื่อได้รับผลที่จะให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปล่อยทรัพที่ยึดคืนให้แก่ผู้ร้องทั้งสองไปในที่สุด จึงเป็นกรณีที่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๘ ที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะในเรื่องร้องขัดทรัพย์นั่นเอง มิใช่เป็นการยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยกกระบวนวิธีการบังคับคดีตามมาตรา๒๙๖ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๗ แต่อย่างใด และการจะให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปล่อยทรัพย์ที่ยึดคืนให้แก่ผู้ร้องทั้งสองได้นั้นตามมาตรา ๒๘๘ วรรคแรก ก็กำหนดให้ยื่นคำร้องขอต่อศาลก่อนเอาทรัพย์ออกขายทอดตลาด ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไปก่อนแล้ว ผู้ร้องทั้งสองจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องนี้ได้
พิพากษายืน.

Share