แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ.2511มาตรา 7,27 ฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาต สาระสำคัญอยู่ที่การไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนตามกฎหมาย จำเลยจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อใดก็เป็นความผิดสำเร็จ และถ้าการจัดหางานนั้นได้กระทำโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชนอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343ด้วย ย่อมถือว่าเป็นการกระทำอีกกรรมหนึ่งต่างหาก เพราะจำเลยมีเจตนาที่แยกต่างหากจากความผิดฐานแรก ดังนั้นแม้จำเลยจะได้กระทำดังกล่าวในคราวเดียวกัน การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 343 และพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ. 2511 มาตรา 7, 27 ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ปฏิเสธข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อหา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343 และพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7, 27 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343 อันเป็นบทหนัก
โจทก์อุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ส่วนจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเป็นยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยทั้งสองร่วมกันจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนตามกฎหมาย และในการจัดหางานดังกล่าว จำเลยทั้งสองโดยทุจริตร่วมกันหลอกลวงประชาชนว่าจะส่งผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศ ทำให้จำเลยทั้งสองได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้เสียหาย เห็นว่าความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตกับความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนเป็นความผิดต่อกฎหมายคนละฉบับซึ่งอาศัยเจตนาในการกระทำผิดแยกจากกันได้ สำหรับความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น สาระสำคัญอยู่ที่การไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนตามกฎหมาย จำเลยเร่ิมกระทำการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อใด ก็เกิดเป็นความผิดสำเร็จขึ้นเมื่อนั้นและถ้าการจัดหางานดังกล่าวได้กระทำโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนหรือปกปิดข้อความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน อันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงอีกด้วยแล้ว ย่อมถือว่าเป็นการกระทำอีกกรรมหนึ่งต่างหาก เพราะจำเลยมีเจตนาที่แยกต่างหากจากการกระทำความผิดฐานแรก แม้จะได้กระทำในครั้งคราวเดียวกัน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน หาใช่เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทไม่
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7, 27 อีกกระทงหนึ่งนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.