คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 287/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีเกี่ยวกับความผิดฐานรับของโจรนั้นข้อสำคัญโจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่าจำเลยรับทรัพย์ไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์สินอันได้มาโดยการกระทำความผิดกรณีของจำเลยเมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันให้เห็นว่าจำเลยได้รับรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักเอาไปไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดจะอาศัยพฤติการณ์ที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายมาจากบ้านของส. โดยคิดหรือคาดคะเนเอาว่าจำเลยได้ครอบครองหรือช่วยจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายแล้วฟังประกอบบันทึกการตรวจยึดว่าจำเลยมีรถจักรยานยนต์อันเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดนั้นหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 357, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 วรรคแรก จำคุก 2 ปี คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องได้มีคนร้ายลักรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน นครศรีธรรมราช ธ-1527 ราคา 32,000 บาทของผู้เสียหายไป มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรหรือไม่ โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความ พยานโจทก์ที่มาเบิกความมี 3 ปาก คือ จ่าสิบตำรวจไพโรจน์ เกิดวันเป็นพยานผู้จับกุมจำเลยร้อยตำรวจโทประโมท อักษรพันธุ์ เป็นพนักงานสอบสวน ต่างไม่ได้เบิกความยืนยันว่าจำเลยกระทำผิดคงมีเพียงร้อยตำรวจเอกสรายุทธ พิกุลทอง เบิกความว่า เมื่อวันที่ 3พฤษภาคม 2537 พยานจับกุมนายสมโชค หรือฉุ้ง ขันเพ็ชร ในข้อหาลักรถจักรยานยนต์ที่โรงพยาบาลมหาราช เมื่อสอบสวนนายสมโชคแล้วได้ความว่านายสมโชคลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายด้วยและนายสมโชคนำรถจักรยานยนต์ที่ลักมาจากผู้เสียหายไปขายให้แก่จำเลยในราคา 2,500 บาท ครั้นวันที่ 4 พฤษภาคม 2537 พยานให้นายสมโชคพาไปที่บ้านจำเลย พบจำเลย พยานสอบถามจำเลยไม่ยอมรับว่าได้ซื้อรถจักรยานยนต์จากนายสมโชค จึงพาจำเลยไปสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จำเลยให้การรับว่าได้ซื้อรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายจากนายสมโชคในราคา 2,500 บาทแต่จำเลยได้ขายรถดังกล่าวแก่นายสุรศักดิ์แล้ว จากนั้นพยานจึงพาจำเลยไปที่บ้านนายสุรศักดิ์ พบรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายจอดอยู่นายสุรศักดิ์ให้การว่าซื้อมาจากจำเลยราคา 2,500 บาทตามบันทึกการตรวจยึดเอกสารหมาย จ.2 เห็นว่าพยานโจทก์ทั้ง 3 ปากนี้ไม่ได้ความใด ๆ มากไปกว่านี้อีก ทั้งไม่ได้เบิกความถึงการกระทำผิดฐานรับของโจรของจำเลยว่ามีพฤติการณ์กระทำผิดอย่างไร คดีเกี่ยวกับความผิดฐานรับของโจรนั้น ข้อสำคัญโจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่า จำเลยรับทรัพย์ไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์สินอันได้มาโดยการกระทำความผิด ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีของจำเลยนี้ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันให้เห็นว่าจำเลยได้รับรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักเอาไปไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด จะอาศัยพฤติการณ์ที่ร้อยตำรวจเอกสรายุทธยึดรถจักรยานยนต์คันของผู้เสียหายมาจากบ้านของนายสุรศักดิ์โดยคิดหรือคาดคะเนเอาว่าจำเลยได้ครอบครองหรือช่วยจำหน่ายรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นของผู้เสียหายแล้ว ฟังประกอบบันทึกการตรวจยึดเอกสารหมาย จ.2 ว่าจำเลยมีรถจักรยานยนต์อันเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดนั้นหาได้ไม่ พยานโจทก์จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share