คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 956/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ซึ่งศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จำเลยยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องขอให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาคดีใหม่หรืออนุญาตให้จำเลยดำเนินการเองเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นโต้แย้งการกระทำหรือคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 146 ชั้นนี้เป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และโจทก์ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องในคดีส่วนนี้ ไม่จำเป็นต้องส่งสำเนาฎีกาของจำเลยให้โจทก์

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย โดยมูลหนี้ตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางสองคดี ซึ่งศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาคดีล้มละลายศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดจำเลยยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องขอให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาคดีทั้งสองคดีใหม่หรืออนุญาตให้จำเลยดำเนินการเอง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งให้ยกคำร้องจำเลยจึงยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการยื่นคำร้องขอให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาคดีของจำเลยทั้งสองคดีใหม่หรืออนุญาตให้จำเลยดำเนินการเองได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในเบื้องต้น กรณีที่จำเลยยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาให้จำเลยนำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายใน 7 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฎีกา ปรากฏว่าจำเลยไม่เสียค่าธรรมเนียมการส่ง เห็นว่าเรื่องนี้กรณีสืบเนื่องมาจากจำเลยยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องขอให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาคดีใหม่ หรืออนุญาตให้จำเลยดำเนินการเอง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยจึงยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ หรืออนุญาตให้จำเลยดำเนินการเอง ซึ่งจำเลยมีสิทธิกระทำได้ และศาลมีอำนาจสั่งยืนตาม กลับหรือแก้ไขหรือสั่งประการใดที่เห็นสมควร เป็นกรณีจำเลยโต้แย้งการกระทำหรือคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 146 เป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และโจทก์ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องในคดีส่วนนี้แต่อย่างใด ไม่จำเป็นต้องส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์แม้จำเลยจะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ ก็ยังไม่สมควรที่จะจำหน่ายคดี สมควรวินิจฉัยฎีกาของจำเลยต่อไป ซึ่งมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยดังกล่าวชอบหรือไม่ เห็นว่า การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าจัดการทรัพย์สินของจำเลยนั้นจะต้องดำเนินการให้เป็นประโยชน์แก่จำเลยและเจ้าหนี้ทั้งหลายโดยคำนึงถึงประโยชน์ของกองทรัพย์สินของจำเลยซึ่งจะมีผลถึงเจ้าหนี้ทั้งหลายด้วย คดีนี้โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางสองคดี โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายโดยมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว จำเลยย่อมมีสิทธิสู้คดีเพื่อให้ศาลพิพากษายกฟ้องมาชั้นหนึ่งแล้ว และยังมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาด้วยนอกจากนี้เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด โจทก์จะขอรับชำระหนี้ได้ก็แต่โดยปฏิบัติตามมาตรา 27, 91, 94 และ 96แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 โดยต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องทำการสอบสวนเกี่ยวกับหนี้รายนี้และทำความเห็นเสนอต่อศาลว่าควรอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้เพียงใดหรือไม่ และเมื่อศาลพิพากษาแล้วจึงจะสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ หรืออาจยกคำขอรับชำระหนี้เสียก็ได้ตามมาตรา 105,106, 107 ในเมื่อหนี้ตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางดังกล่าวจะต้องได้รับการพิจารณาโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และศาลอีกชั้นหนึ่งอยู่แล้วเช่นนี้การดำเนินการเพื่อให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาคดีใหม่ดังที่จำเลยร้องขอจึงไม่เป็นประโยชน์แต่อย่างไร ทั้งยังเป็นการเพิ่มภาระการดำเนินคดีให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และเสียเวลาในการรวบรวมจัดการทรัพย์สินของจำเลยอันเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะต้องทำเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายและจำเลยโดยไม่จำเป็น การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยดังกล่าวย่อมเป็นประโยชน์แก่การจัดการทรัพย์สินของจำเลยมากกว่าที่จะสั่งอนุญาตตามคำร้องของจำเลย เป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งและคำพิพากษายืนตามคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share