คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9558/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 กับพวกเตรียมอาวุธปืนพกให้จำเลยที่ 1 พาติดตัวไปแล้วเดินทางไปที่เกิดเหตุด้วยกันโดยเจตนาจะไปวิวาทกับผู้เสียหายกับพวก ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 กับพวกมีเจตนาใช้อาวุธปืนนั้นในการวิวาทเมื่อพวกของจำเลยทั้งสองเข้าชกต่อยกับผู้เสียหายและพวก จำเลยที่ 2ก็ยืนอยู่กับจำเลยที่ 1 และการที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนพกที่เตรียมมายิงผู้เสียหายกับพวกก็อยู่ในความรู้เห็นของจำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 2ยังหลบหนีไปกับจำเลยที่ 1 และพวก แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้ร่วมชกต่อยและใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายกับพวก แต่จำเลยที่ 2 อยู่ในที่เกิดเหตุใกล้ชิดเพียงพอที่จะช่วยเหลือได้ ถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการในการใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายกับพวก มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยมิได้รับอนุญาตด้วย
ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตโจทก์ไม่ได้อาวุธปืนพกที่ใช้กระทำผิดมาเป็นของกลาง โจทก์คงนำสืบแต่เพียงว่าจำเลยทั้งสองกับพวกไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนอาวุธปืนให้มีและใช้อาวุธปืนขนาดใดเลย เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าอาวุธปืนพกที่ใช้กระทำผิดเป็นอาวุธปืนที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายหรือไม่ จึงต้องฟังเป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 ว่าเป็นอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 วรรคสามเท่านั้น และเมื่อโจทก์ฟ้องและนำสืบว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำผิดฐานนี้ จึงเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ฎีกาด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกอีกสามคนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนพกแบบออโตเมติกขนาด11 มิลลิเมตร ไม่ปรากฏหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้จำนวน 1 กระบอก ซองกระสุนปืน 1 ซอง และกระสุนปืนหลายนัดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันพาอาวุธปืนดังกล่าวไปตามถนนสาธารณะซึ่งเป็นหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายลือชัย นานคำ นายดารา สียางนอก และนายไชยวุฒิตรีดารา หลายนัดโดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกที่บริเวณสะบักซ้ายของนายลือชัย เป็นเหตุให้นายลือชัยถึงแก่ความตาย และกระสุนปืนถูกนายดาราบริเวณท้อง จำเลยทั้งสองกับพวกได้ลงมือกระทำผิดและกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากแพทย์ทำการรักษาได้ทัน นายดาราจึงไม่ถึงแก่ความตายเพียงเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ส่วนนายไชยวุฒิไม่ถูกกระสุนปืนเนื่องจากหลบได้ทัน เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมยึดปลอกกระสุนปืนขนาด 11 มิลลิเมตร จำนวน 4 ปลอก ที่จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้กระทำผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 91, 83, 80, 33 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบของกลาง

จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ

จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 288 ประกอบมาตรา 80, 83พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง,72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นเป็นความผิดกรรมเดียวให้ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกคนละตลอดชีวิตฐานร่วมกันมีอาวุธปืน จำคุกคนละ 1 ปี ฐานพาอาวุธปืน จำคุกคนละ 6 เดือน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง และลดโทษให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 25 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 33 ปี 4 เดือน ฐานมีอาวุธปืนจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 เดือน จำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืนจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 เดือน จำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 เดือนรวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 25 ปี 9 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด 34 ปี 4 เดือน ปลอกกระสุนปืนของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดให้ริบ

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนพกยิงนายลือชัยนานคำ นายดารา สียางนอก และนายไชยวุฒิ ตรีดารา เป็นเหตุให้นายลือชัยถึงแก่ความตาย นายดาราได้รับอันตรายสาหัสส่วนนายไชยวุฒิหลบหนีได้ทันจึงไม่ถูกกระสุนปืน

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายไชยวุฒิ ผู้เสียหายเบิกความว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 12 นาฬิกา ขณะที่ผู้เสียหายกับนายลือชัยและนายดาราคุยกันอยู่ที่รถยนต์กระบะข้างหอประชุมโรงเรียนมิตรภาพวังน้ำเย็น จำเลยทั้งสองพร้อมนายวสันต์ เข็มเพชรกับพวกขับและซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มาด้วยกัน 2 คัน นายวสันต์เข้ามาถามผู้เสียหายว่ามีเรื่องอะไรกับน้องของนายวสันต์ ผู้เสียหายตอบว่าไม่มีอะไร แล้วนายวสันต์ชกกับผู้เสียหาย พวกของนายวสันต์เข้าชกต่อยกับพวกของผู้เสียหายระหว่างชุลมุนกันมีเสียงปืน 1 นัดเห็นจำเลยที่ 1 ถืออาวุธปืนพกจ่อไปทางนายลือชัยซึ่งนอนคว่ำอยู่ผู้เสียหายชกกับนายวสันต์ต่อแล้วได้ยินเสียงปืนอีก 1 นัด เมื่อหันไปก็เห็นจำเลยที่ 1 หันปากกระบอกปืนมาทางผู้เสียหาย จึงวิ่งหนีโดยจำเลยที่ 1 ยิงมาทางผู้เสียหายอีก 2 นัด แต่กระสุนปืนไม่ถูกและโจทก์มีนายศรีภูมิ คงแดงดีนักศึกษาผู้ใหญ่ ซึ่งขณะเกิดเหตุกำลังเรียนอยู่ในหอประชุมเบิกความว่า ผู้เสียหายได้ยินเสียงตะโกนว่าคนชกกันจึงออกมาดู เห็นคน 7 ถึง 8 คนชกกัน นายลือชัยถูกชกล้มจำเลยที่ 1 เข้าไปยิงนายลือชัย นายดาราและนายไชยวุฒิตามลำดับแล้วจำเลยทั้งสองกับพวกรวม 5 คน ขับรถจักรยานยนต์ 2 คันหลบหนีไป แม้ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองปากจะไม่ได้สังเกตว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ร่วมชกต่อยหรือร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงอย่างไร แต่ก็ได้ความเป็นการยืนยันว่าจำเลยที่ 2 ร่วมเดินทางมากับพวกจำเลยที่ 1 และหลบหนีไปด้วยกันหลังจากจำเลยที่ 1ใช้อาวุธปืนยิงนายลือชัยกับพวกแล้ว เจ้าพนักงานตำรวจติดตามจับกุมจำเลยที่ 2 ได้ในวันเกิดเหตุ และจำเลยที่ 2 ให้การต่อพันตำรวจโทนคร เกษมสุข พนักงานสอบสวนในวันเกิดเหตุนั้นเองตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย ปจ.6 (ศาลจังหวัดสมุทรปราการ)ว่า จำเลยที่ 2 รู้จักจำเลยที่ 1 นายวสันต์ นายดอกรัก เข็มเพชรและนายวิชิต เม่นตะเภา ประมาณ 5 ปี บ้านอยู่ใกล้กันและไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ เช้าวันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 นายดอกรัก และนายวิชิตพากันไปที่โรงเรียนมิตรภาพวังน้ำเย็นซึ่งเปิดสอนนักศึกษาผู้ใหญ่ นายดอกรักและนายวิชิตเข้าไปเรียน ส่วนจำเลยที่ 2ขับรถจักรยานยนต์ไปเที่ยวที่ตลาดแล้วกลับไปรอที่บ้านนายดอกรักจำเลยที่ 2 นายดอกรักและนายวิชิตรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันแล้วขับรถจักรยานยนต์ไปที่โรงเรียนพบนายไชยวุฒิกับพวกประมาณ 5 ถึง 6 คน ที่ข้างหอประชุม นายไชยวุฒิตะโกนให้ของลับจำเลยที่ 2 กับพวกเห็นท่าไม่ดีและเกรงจะถูกรุมทำร้ายจึงกลับไปที่บ้านนายดอกรัก พบนายวสันต์ขับรถจักรยานยนต์กลับจากทำนาและพบจำเลยที่ 1 นอนเล่นอยู่ที่บ้านนายดอกรัก จึงชวนคนทั้งสองไปด้วยกัน โดยนายดอกรักวิ่งเข้าไปเอาอาวุธปืนพกมาให้จำเลยที่ 1ติดตัวไว้เผื่อว่าพวกของนายไชยวุฒิมีอาวุธปืน เมื่อจำเลยทั้งสองกับพวกไปถึงโรงเรียนก็พบนายไชยวุฒิกับพวก นายวสันต์เข้าไปถามนายไชยวุฒิแล้วชกกัน นายวิชิตชกกับนายลือชัย และนายดอกรักชกกับนายดารา จำเลยที่ 2 ยืนดูเหตุการณ์อยู่กับจำเลยที่ 1 สักพักจำเลยที่ 1 ก็เดินเข้าไปยิงนายลือชัย นายดารา และนายไชยวุฒิแล้วจำเลยทั้งสองกับพวกหลบหนีไปด้วยกัน คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 มีรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุเป็นลำดับตั้งแต่สาเหตุที่จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันเดินทางไปที่เกิดเหตุและได้ให้การไว้ทันทีในวันเกิดเหตุโดยไม่มีเวลาปรุงแต่งเรื่องให้ผิดไปจากความจริงทั้งจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งว่าคำให้การชั้นสอบสวนไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงต่อความจริงจึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2ให้การต่อพนักงานสอบสวนตามความจริง ตามพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 กับพวกเตรียมอาวุธปืนพกให้จำเลยที่ 1 พาติดตัวไป แล้วเดินทางไปที่เกิดเหตุด้วยกันโดยเจตนาจะไปวิวาทกับนายไชยวุฒิกับพวกถือได้ว่าจำเลยที่ 2 กับพวกมีเจตนาใช้อาวุธปืนนั้นในการวิวาทเมื่อพวกของจำเลยทั้งสองเข้าชกต่อยกับนายไชยวุฒิและพวกจำเลยที่ 2 ก็ยืนอยู่กับจำเลยที่ 1 และการที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนพกที่เตรียมมายิงนายลือชัย นายดาราและนายไชยวุฒิก็อยู่ในความรู้เห็นของจำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 2 ยังหลบหนีไปกับจำเลยที่ 1 และพวกถึงแม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้ร่วมชกต่อยและใช้อาวุธปืนยิงนายลือชัยกับพวก แต่จำเลยที่ 2 อยู่ในที่เกิดเหตุใกล้ชิดเพียงพอที่จะช่วยเหลือได้ก็ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการในการใช้อาวุธปืนยิงนายลือชัยกับพวก มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยมิได้รับอนุญาตด้วย แต่ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตนั้น โจทก์ไม่ได้อาวุธปืนพกที่ใช้กระทำผิดมาเป็นของกลาง โจทก์คงนำสืบแต่เพียงว่าจำเลยทั้งสองกับพวกไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนอาวุธปืนให้มีและใช้อาวุธปืนขนาดใดเลย เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าอาวุธปืนพกที่ใช้กระทำผิดเป็นอาวุธปืนที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายหรือไม่ จึงต้องฟังเป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 ว่าเป็นอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 วรรคสาม เท่านั้น และเมื่อโจทก์ฟ้องและนำสืบว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำผิดฐานนี้จึงเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ฎีกาด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 อนึ่งขณะกระทำผิดจำเลยที่ 2 อายุเพียง 18 ปี เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76และเมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำผิดแล้ว เห็นสมควรกำหนดโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นให้ลดหลั่นจากโทษที่ลงแก่จำเลยที่ 1 ด้วย

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิวรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษขณะกระทำผิดจำเลยที่ 2 อายุ 18 ปี เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษลงหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 13 ปี4 เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต จำคุก 4 เดือน และฐานพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยมิได้รับอนุญาต จำคุก 4 เดือน รวมจำคุก14 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา อันเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด 9 ปี 4 เดือน สำหรับจำเลยที่ 1 ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต ให้ปรับบทลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 72 วรรคสาม จำคุก6 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78แล้ว จำคุก 3 เดือน รวมลงโทษทุกกระทงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด25 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share