คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1854/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้ร้องให้จำเลยเช่า โรงงานและเช่าซื้อ อุปกรณ์แบ่งบรรจุก๊าซของกลางก็ตาม แต่ ก็ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ร้องได้ ขอ อนุญาตต่อ ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานแบ่งบรรจุก๊าซไว้ และในระหว่างให้จำเลยเช่า โรงงานนั้น ผู้ร้องก็หาได้ แจ้งเลิกกิจการไม่ ทั้งขณะเมื่อเจ้าพนักงานเข้าจับกุมจำเลยซึ่ง ร่วมถ่ายเทก๊าซก็ได้ แสดงตัว เป็นผู้ควบคุมดูแล และได้แสดงใบอนุญาตบรรจุก๊าซของผู้ร้อง ดังนี้ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าผู้ร้องรู้เห็นยินยอมให้จำเลยประกอบกิจการแบ่งบรรจุก๊าซในนามผู้ร้องผู้ร้องจึงรู้เห็นเป็นใจด้วย ในการกระทำผิดของจำเลย ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอคืนอุปกรณ์แบ่งบรรจุก๊าซของกลาง.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานบรรจุก๊าซใส่ภาชนะซึ่งมีปริมาตรเกินกว่า 50 ลูกบาศก์เซนติเมตร โดยมิได้รับอนุญาต และฐานนำก๊าซหุงต้มไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 28 ลงวันที่ 29ธันวาคม 2514 ข้อ 2, 4 พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 มาตรา 3, 8 คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 3/2529 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2529 ข้อ 20และริบของกลาง คืออุปกรณ์สำหรับถ่ายเทก๊าซจำนวน 17 รายการและรถยนต์บรรทุกก๊าซอีก 2 คัน จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย และริบของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของอุปกรณ์สำหรับแบ่งบรรจุก๊าซของกลางจำนวน 17 รายการ และผู้ร้องเป็นเจ้าของโรงงานอันเป็นที่ตั้งของทรัพย์ดังกล่าว เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2529ผู้ร้องได้ให้จำเลยเช่าซื้ออุปกรณ์แบ่งบรรจุก๊าซของกลางในราคา150,000 บาท และให้จำเลยเช่าโรงงานไปเมื่อวันที่ 1 มกราคม2529 ผู้ร้องไม่มีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำผิดของจำเลย ขอให้ส่งคืนอุปกรณ์สำหรับแบ่งบรรจุก๊าซของกลางจำนวน 17 รายการแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ของกลางทั้ง 17 รายการ หากผู้ร้องเป็นเจ้าของผู้ร้องก็มีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า ทรัพย์ของกลางจำนวน 17 รายการเป็นของผู้ร้อง คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลยหรือไม่ ผู้ร้องนำสืบว่าเมื่อปี พ.ศ. 2528 กิจการของผู้ร้องขาดทุนจึงได้หยุดกิจการ และให้จำเลยเช่าโรงงานกับเช่าซื้ออุปกรณ์สำหรับแบ่งบรรจุก๊าซของกลางไป และผู้ร้องไม่ทราบการกระทำผิดของจำเลยเพิ่งทราบเรื่องภายหลังที่เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยแล้ว เห็นว่า แม้จะฟังตามที่ผู้ร้องนำสืบว่าผู้ร้องได้ให้จำเลยเช่าโรงงานและเช่าซื้ออุปกรณ์สำหรับแบ่งบรรจุก๊าซจริง แต่ก็ปรากฏจากคำเบิกความของนางพรรณทิพา พรหมพ้วยหัวหน้างานทะเบียนโรงงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมพยานผู้ร้องว่าผู้ร้องได้ขอต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานแบ่งบรรจุก๊าซจากวันที่ 1 มกราคม 2529 ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม2531 ปรากฎตามเอกสารหมาย ร.11 และผู้ร้องหาได้แจ้งเลิกกิจการแต่อย่างใดไม่ ร้อยตำรวจเอกไสว เพียะผาบรัตนะ ผู้จับกุมเบิกความว่า ขณะจับกุมพบคนงานประมาณ 10 คน กำลังถ่ายเทก๊าซอยู่ในโรงงานจำเลยได้ร่วมถ่ายเทก๊าซด้วย จำเลยได้แสดงตัวว่าเป็นผู้ดูแลถ่ายเทก๊าซและได้แสดงใบอนุญาตบรรจุก๊าซของผู้ร้อง เช่นนี้ ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าผู้ร้องรู้เห็นยินยอมให้จำเลยประกอบกิจการแบ่งบรรจุก๊าซในนามของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดของจำเลย ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอคืนอุปกรณ์แบ่งบรรจุก๊าซของกลางจำนวน 17 รายการ…”
พิพากษายืน.

Share