คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2387/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ประเด็นข้อพิพาทมีว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันเท่ากับวินิจฉัยว่าที่พิพาทไม่ได้เป็นของโจทก์นั่นเองจึงเป็นการวินิจฉัยตรงตามประเด็นในคดี โจทก์เพียงแต่เข้าไปขุดบ่อไว้เป็นแห่ง ๆ ในที่พิพาทซึ่งเป็นหนองน้ำสาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกัน เพื่อจับปลาเช่นเดียวกับจำเลยและราษฎรคนอื่น ๆ และในหน้าน้ำทุกปีน้ำท่วมพื้นที่ทั้งหมดไม่มีผู้ใดสามารถใช้ประโยชน์จากบ่อที่ขุดไว้ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทำประโยชน์อย่างอื่นในที่พิพาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน 1 แปลงเนื้อที่ 11 ไร่ ครอบครองมาตั้งแต่ พ.ศ. 2506 ใช้ประกอบการเกษตรเสียภาษีบำรุงท้องที่มาตลอด ในเดือนมีนาคม 2530 จำเลยได้ลงหลักปักเขตถือสิทธิในที่ดินของโจทก์ด้านทิศเหนือ จากทิศตะวันออกมาทิศตะวันตกยาว 2 เส้น 10 วา จากมุมทิศตะวันออกมาทิศใต้กว้าง 2 เส้น 5 วา เป็นเนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง แล้วขุดคูเป็นร่องเพื่อเป็นบ่อปลา โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดิน แต่จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่ท้ายฟ้องและให้จำเลยทำการปรับดินให้อยู่ในสภาพพื้นราบ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินตามฟ้องแต่จำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ตั้งแต่ พ.ศ. 2505 โดยขุดบ่อเลี้ยงปลาและเสียภาษีบำรุงท้องที่ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาท ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยทำการปรับที่ดินให้อยู่ในสภาพพื้นราบนั้นเห็นว่า ที่พิพาทมีสภาพเป็นน้ำท่วมขังตลอดปี และมีการขุดบ่อปลาไว้ ไม่ได้ความว่าจำเลยกระทำให้ที่พิพาทเสียหายอย่างไร คำขอโจทก์ไม่ชัดแจ้ง จึงให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะที่พิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณะนั้นเป็นการพิจารณาและพิพากษานอกฟ้อง ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่มีอำนาจที่จะหยิบยกมาว่ากล่าวหรือไม่ เห็นว่าประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้มีว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันก็คือวินิจฉัยว่าที่พิพาทไม่ได้เป็นของโจทก์นั่นเอง เป็นการวินิจฉัยตรงตามประเด็นในคดี ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาของโจทก์ข้อต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทหรือไม่ โจทก์นำสืบว่า นายคล้ายบิดาของภรรยาโจทก์ได้ยกที่พิพาทให้แก่โจทก์ ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า ทิศใต้จดที่นางจวงมารดาจำเลย รับกับข้อนำสืบของจำเลยที่ว่าที่พิพาทอยู่ด้านทิศเหนือของนางจวงมารดาจำเลย ที่พิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณประโยชน์ชาวบ้านเรียกว่าทุ่งหนองเตียน ปรากฏตาม น.ส.3 ของนางจวงเอกสารหมาย ล.1 ว่า ที่ดินด้านทิศเหนือจดทุ่งหนองเตียน(หนองน้ำสาธารณะ) และได้ความจากโจทก์นำสืบว่า เมื่อประมาณ20 ปีมาแล้วที่พิพาทน้ำท่วมทุกปี บางปีน้ำท่วมเหนือศีรษะ บางปีน้ำสูงระดับอก ปัจจุบันมีเขื่อนกั้นน้ำทำให้น้ำไม่ท่วมศีรษะ น้ำจะลดลงในเดือนเมษายนหรือพฤษภาคมของทุกปี เมื่อน้ำลดโจทก์และพรรคพวกก็ช่วยกันจับปลานำไปรับประทาน ข้อนี้จำเลยนำสืบรับว่าในช่วงเดือนดังกล่าวชาวบ้านใกล้เคียงไปจับปลา 40-50 คนทั้งข้อนำสืบของโจทก์จำเลยรับกันว่า นอกจากบ่อปลาที่ปรากฏในแผนที่พิพาทแล้วยังมีบ่อปลาอีกหลายบ่อที่โจทก์จำเลยขุดไว้แต่น้ำท่วมจึงไม่สามารถระบุในแผนที่พิพาทได้ นายเอื้อม สายรื่น อดีตผู้ใหญ่บ้านท้องที่พิพาทพยานโจทก์เบิกความว่าที่พิพาทเรียกกันว่าทุ่งหนองเตียน บางปีน้ำท่วมตลอดไม่สามารถเดินผ่านได้ปีใดน้ำแล้งชาวบ้านจะลงไปขุดบ่อปลาไว้แล้วลงไปจับปลาในบ่อที่ตนขุดไว้มีประมาณ 10 บ่อ นายไสวสงพัฒน์แก้ว ผู้ใหญ่บ้านท้องที่พิพาทพยานจำเลยเบิกความว่า ในราวเดือนเมษายนของทุกปีจะมีชาวบ้าน 30-40 คน ไปจับปลาในที่พิพาทแต่ไม่มีผู้ใดไปขอออก น.ส.3 เพราะเป็นที่ทางราชการสงวนไว้เป็นสาธารณประโยชน์ไม่อาจออกเอกสารสิทธิให้แก่ผู้ใด และนายนิกรทิพย์สุวรรณ อดีตปลัดอำเภอพุนพินพยานจำเลยเบิกความเช่นเดียวกันว่าที่พิพาทเป็นหนองน้ำและเป็นที่เลี้ยงสัตว์ภายในหมู่บ้าน ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันโจทก์เพียงแต่เข้าไปขุดบ่อไว้เป็นแห่ง ๆ เพื่อจับปลา ซึ่งเป็นการกระทำในลักษณะทำนองเดียวกับจำเลยและราษฎรคนอื่น ๆ และในหน้าน้ำทุกปีมีน้ำท่วมพื้นที่ของทุ่งหนองเตียนทั้งหมดไม่มีผู้ใดสามารถใช้ประโยชน์จากบ่อที่ขุดไว้ได้ นอกจากนี้ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทำประโยชน์อย่างอื่นในที่พิพาทแตกต่างจากจำเลยหรือราษฎรคนอื่นข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน.

Share