คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในเรื่องฟ้องซ้อน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 วรรคสอง (1) นั้น กฎหมายห้ามแต่โจทก์มิให้ฟ้องจำเลย หาได้ห้ามจำเลยมิให้กลับมาฟ้องโจทก์ด้วยไม่ ไม่เหมือนกับเรื่องฟ้องซ้ำตามมาตรา 148 ซึงห้ามทั้งโจทก์และจำเลยมิให้ฟ้องคดีขึ้นใหม่
การที่จำเลยครอบครองที่พิพาทในระหว่างที่ศาลพิจารณาคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ ขอให้ห้ามเกี่ยวข้องกับที่พิพาทโดยอ้างว่าเป็นของจำเลยนั้น จำเลยจะยกเอาสิทธิแห่งการครอบครองมายันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้นหาได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 1273/2500)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔ จำเลยฟ้องโจทก์ต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์ ขอห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้องในที่ดินแปลงที่จำเลยและบริวารปลูกบ้านอาศัยและทำนาอยู่อ้างว่าเป็นของจำเลย ศาลพิพากษายกฟ้อง เพราะฟังว่าที่ดินเป็นของโจทก์ คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ ๔๙๗/๒๕๑๔ การที่จำเลยยังคงปลูกบ้านและหาประโยชน์อยู่ในที่ดินนี้ จึงเป็นการอยู่โดยปราศจากอำนาจ โจทก์บอกให้จำเลยออกไป จำเลยก็เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านเรือนและพาบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ และห้ามเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า ที่ดินที่โจทก์ฟ้องเป็นของจำเลย จำเลยฟ้องโจทก์ไว้ตามคดีที่โจทก์อ้างจริง แต่คดียังไม่ถึงที่สุด เพราะอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์ไม่ฟ้องภายใน ๑ ปี นับแต่วันที่จำเลยได้โต้แย้งสิทธิ ฟ้องของโจทก์จึงขาดอายุความ
คู่ความแถลงรับกันว่า โจทก์และจำเลยในคดีนี้ เป็นจำเลยและโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๙๗/๒๕๑๔ ของศาลจังหวัดนครสวรรค์กลับกัน ที่พิพาทในทั้งสองคดีเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน คดีก่อนจำเลยฟ้องโจทก์ ห้ามมิให้เกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท โดยจำเลยอ้างว่าจำเลยขายฝากที่ดินให้โจทก์ครึ่งเดียว ไม่รวมถึงที่พิพาทด้วย โจทก์ต่อสู้ว่าที่ขายฝากนั่นรวมทั้งที่พิพาทด้วย ในที่สุดศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยขายฝากที่ดินให้โจทก์ทั้งหมด รวมทั้งที่พิพาทด้วย พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ฟ้องคดีนี้หลังจากจำเลยฟ้องคดีนั้นเกิน ๑ ปีแล้ว จำเลยครอบครองที่พิพาทโดยจำเลยเป็นเจ้าของมาตั้งแต่เริ่มฟ้องคดีนั้นจนถึงปัจจุบันเกิน ๑ ปี ที่พิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ คู่ความไม่สืบพยาน ขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายใน ๒ ประเด็นที่ท้ากัน คือ
๑. โจทก์ฟ้องคดีนี้ซ้อนกับคดีหมายเลขแดงที่ ๔๙๗/๒๕๑๔ ของศาลจังหวัดนครสวรรค์หรือไม่
๒. ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์คดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้อน และคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านเรือนและพาบริวารออกไปจากที่พิพาท ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่พิพาทอีกต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในประเด็นว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้อนหรือไม่นั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓ วรรคสอง บัญญัติว่า “นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา และผลแห่งการนี้ (๑) ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น และ………….ฯลฯ………….” เห็นได้ว่า กฎหมายห้ามแต่โจทก์มิให้ฟ้องจำเลย หาได้ห้ามจำเลยมิให้กลับมาฟ้องโจทก์ด้วยไม่ ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๙๗/๒๕๑๔ นั้น โจทก์ในคดีนี้ถูกฟ้องเป็นจำเลย และโจทก์ก็มิได้ฟ้องแย้ง ดังนั้น ที่โจทก์กลับมาฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน กรณีไม่เหมือนกับเรื่องฟ้องซ้ำในคดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ ที่บัญญัติห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ซึ่งตามบทมาตราดังกล่าว กฎหมายห้ามทั้งโจทก์และจำเลยมิให้ฟ้องคดีใหม่ขึ้น
ส่วนในประเด็นว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้น ปรากฏว่าจำเลยให้การและอุทธรณ์ฎีกาต่อมาว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความเพราะที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์มิได้ฟ้องร้องภายในหนึ่งปีนับแต่จำเลยฟ้องโจทก์ ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเลยโต้แย้งว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะมิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทภายใน ๑ ปี นับแต่วันที่จำเลยฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๙๗/๒๕๑๔ ของศาลจังหวัดนครสวรรค์นั่นเอง ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยครอบครองที่พิพาทในระหว่างที่ศาลพิจารณาคดีหมายเลขแดงที่ ๔๙๗/๒๕๑๔ นั้น จำเลยจะยกเอาสิทธิแห่งการครอบครองมายันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้นหาได้ไม่ ทั้งนี้ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๗๑/๒๕๐๐ ระหว่างนางผิว เขมา โจทก์ นายเจียม พึ่งฉ่ำ กับพวก จำเลย
พิพากษายืน

Share