แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เถียงว่าจำเลยทำนาโจทก์โดยการเช่า แม้สัญญาเช่าจะสิ้นแล้วแต่จำเลยยังคงทำต่อมาเช่นนี้ต้องถือว่าจำเลยได้เช่าต่อมาโดยไม่มีกำหนดและจำเลยครอบครองไว้แทนโจทก์ไม่ใช่เพื่อตนเอง จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิ แต่คดีได้ความว่าชั้นต้นจำเลยเช่าแต่ตอนหลังโจทก์จะไปเก็บค่าเช่าจำเลยไม่ยอมให้ ทั้งบอกว่าเป็นที่ของจำเลยมิได้เช่าจากโจทก์แล้ว ดังนี้ก็เป็นการแสดงว่าจำเลยถือตนว่าเป็่นเจ้าของนานั้น และไม่ยอมตนว่าเป็นผู้ครอบครองแทนโจทก์ฐานผู้เช่าต่อไปแล้ว (ป.พ.พ.ม. 1381) โจทก์ต้องฟ้องภายใน 1 ปี ตาม ป.พ.พ.ม. 1375 เมื่อโจทก์ไม่ฟ้องภายในกำหนดคดีโจทก์จึงขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่านายแก้วสามีจำเลยได้ทำหนังสือสัญญายกที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญของนายแก้ว ๒ แปลง ตำบลศรีบัวทอง กิ่งอำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง ให้แก่นางบุญเติมเพื่อใช้ต้นเงินและดอกเบี้ย แล้วจำเลยและสามีก็เช่าต่อมา นายแก้วตายแล้ว จำเลยก็ยังคงทำสัญญาเช่าตลอดมา ต่อมานางบุญเติมตาย ที่ดินตกเป็นของบริษัทสุวรรณประทีป ๆโจทก์จำเลยคงทำสัญญาเช่าต่อมาจน ๒๔๙๕ โจทก์ได้เตือนให้จำเลยมาทำสัญญาเช่าเช่นเคย จำเลยไม่มาและไม่ส่งค่าเช่าจำเลยคงทำนาต่อมารวม ๓ ปี เป็นเงินค่าเช่า ๒,๔๐๐ บาท จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยไม่ให้เกี่ยวข้องกับที่พิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๒,๔๐๐ บาท
จำเลยต่อสู้ว่า สามีจำเลยไม่เคยเป็นหนี้นางบุญเติม และไม่เคยยกนาใช้หนี้นางบุญเติม จำเลยและสามีไม่เคยเช่านาจากนางบุญเติมหรือบริษัทโจทก์ และตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยจำเลยและสามียกให้นางบุญเติมเป็นการใช้หนี้ ต่อมาที่พิพาทตกให้แก่บริษัทโจทก์ แต่คำให้การของโจทก์เองที่ว่า ” ในพ.ศ. ๒๔๙๔ ไปเก็บค่าเช่านาจากจำเลย จำเลยไม่ให้ ” อ้างว่าเป็นนาของจำเลยมิได้เช่าจากโจทก์แสดงว่าจำเลยมีเจตนาครอบครองและเป็นปฏิปักษ์ต่อโจทก์ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๔ หรือนัยหนึ่งโจทก์ถูกแย่งการครอบครองมาแต่ พ.ศ. ๒๔๙๔ ที่พิพาทเป็นที่มือเปล่า อายุความกำหนดไว้เพียง ๑ ปี โจทก์มาฟ้องใน พ.ศ. ๒๔๙๖ ขาดอายุความแล้ว ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อตัดฟ้องอื่น ๆ พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ฎีกาโจทก์ที่เถียงว่าจำเลยเข้าทำนาโดยการเช่าแม้สัญญาจะสิ้นอายุแล้วแต่จำเลยยังคงทำนาอยู่ก็ยังต้องถือว่าจำเลยได้เช่าโดยไม่มีกำหนด จำเลยจึงครอบครองที่ดินของโจทก์แทนโจทก์ไม่ใช่ครอบครองเพือตนเอง จะครอบครองนานเท่าใกก็ไม่ได้สิทธินั้น ศาลฎีกาเห็นว่าแม้ชั้นต้นจำเลยจะเข้าครอบครองนาโจทก์โดยอาศัยสัญญาเช่าก็ดี แต่เมื่อตอนหลังโจทก์จะไปเก็บค่าเช่าจำเลยไม่ยอมให้ ทั้งบอกว่าเป็นที่ของจำเลยเองมิได้เช่าจากโจทก์แล้ว ก็เป็นการแสดงว่าจำเลยถือตนว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่นานั้น และไม่ยอมตนว่าเป็นผู้ครอบครองแทนโ่จทก์ฐานเป็นผู้เช่าต่อไปแล้ว เป็นการแสดงออกชัดว่าจำเลยแย่งการครอบครองของโจทก์ตั้งแต่นั้นมา ถ้าโจทก์ประสงค์จะได้คืนการครอบครองก็ต้องฟ้องร้องภายใน ๑ ปี ตาม ป.พ.พ.ม. ๑๓๗๕ แต่โจทก์มิได้ฟ้องภายในกำหนด คดีโจทก์จึงขาดอายุความ และฟังว่าที่นายพินพยานโจทก์ ให้การว่าไปทวงค่าเช่าจากจำเลยใน พ.ศ. ๒๔๙๔ นั้น ไม่ได้ให้การโดยผิดหลง
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์