แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ร่วมกันหลอกลวงให้โจทก์ร่วมซื้อที่ดินที่ติดลำคลองมิใช่ติดถนนสาธารณะในราคาที่สูงมาก ทั้งที่ราคาควรจะต่ำกว่าที่โจทก์ร่วมได้ชำระไป เพราะเป็นที่ดินไม่มีทางออก การสัญจรต้องข้ามคลองเท่านั้น เมื่อโจทก์ร่วมชำระค่าที่ดินไปเพราะถูกหลอกลวง ความเสียหายย่อมเกิดขึ้นนับแต่วันชำระราคาที่ดิน จึงร้องทุกข์ได้แต่บัดนั้นเป็นต้นไป ไม่ต้องรอให้ครบ 1 ปี เพื่อดูว่ามีการซื้อขายที่ดินคืน และโจทก์ร่วมขาดทุนจากการขายที่ดินคืนเสียก่อน ข้อที่จำเลยที่ 2 โอนบ้าน 1 หลังให้โจทก์ร่วมก็เป็นเพียงการบรรเทาผลร้ายบางส่วนจากการกระทำผิดทางอาญาฐานฉ้อโกง มิใช่การประนีประนอมยอมความที่มีผลทำให้สิทธิในการดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญาของโจทก์และโจทก์ร่วมระงับไป
ศาลล่างทั้งสองบังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันคืนเงินที่ฉ้อโกงไปแก่โจทก์ร่วมตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 โดยได้หักกับราคาทรัพย์สินที่โจทก์ร่วมได้รับการชดใช้มาบ้าง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งแห่งคำพิพากษาคดีอาญาตามมาตรา 44 วรรคสอง แม้เป็นคดีส่วนแพ่งและศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะส่วนคดีอาญาก็ตาม ศาลก็บังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันรับผิดได้
ย่อยาว
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษารวมกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๔๐๕/๒๕๔๐ ของศาลชั้นต้น แต่คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์และโจทก์ร่วมมิได้ยื่นฎีกาคดีจึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คงมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้เท่านั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๑, ๘๓, ๙๑ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงิน ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางสุภาพร วัฒนาแก้วศรีเพ็ชร ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะในส่วนคดีอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๑ ประกอบมาตรา ๘๓ การกระทำของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตาม ป.อ. มาตรา ๙๑ จำคุก ๒ ปี รวม ๒ กระทง เป็นจำคุกคนละ ๔ ปี ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันคืนเงิน ๓,๔๕๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ร่วม ให้ยกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมสำหรับจำเลยที่ ๓
โจทก์ร่วม จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ส่วนที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกาว่า โจทก์และโจทก์ร่วมมิได้นำสืบให้เห็นหรือนำเจ้าพนักงานที่ดินมาสืบว่าที่ดินถูกแพงอย่างไร จึงถือได้ว่าโจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบไม่สมฟ้องและไม่น่าเชื่อถือ รวมทั้งโจทก์และโจทก์ร่วมไม่นำเจ้าพนักงานที่ดินมาทำแผนที่พิพาทให้ชัดเจนว่าที่พิพาทอยู่ที่ใด อยู่ติดคลองหรือไม่ กรณีเป็นที่สงสัย ควรต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นั้น เห็นว่า แม้คดีนี้ไม่มีเจ้าพนักงานที่ดินมานำสืบว่าที่ดินถูกแพงอย่างไร และมิได้ทำแผนที่พิพาทดังที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ กล่าวอ้าง เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้หลอกลวงให้โจทก์ร่วมซื้อที่ดินที่ติดลำคลองมิใช่ติดถนนสาธารณะในราคาที่สูงมาก ทั้งที่ราคาควรจะต่ำกว่าที่โจทก์ร่วมได้ชำระไปเป็นเงินจำนวนมาก เพราะเป็นที่ดินไม่มีทางออกการสัญจรต้องข้ามคลองเท่านั้น ซึ่งหากโจทก์ร่วมรู้ความจริงก็คงไม่ซื้อที่ดินทั้งสี่แปลง ดังนั้น การที่โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีเจ้าพนักงานที่ดินมานำสืบยืนยันถึงราคาที่ดินก็ดี หรือมิได้ทำแผนที่พิพาทก็ดี ก็หาทำให้คดีโจทก์และโจทก์ร่วมมีพิรุธสงสัย จนต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ แม้ปรากฏว่าได้มีการตกลงซื้อที่ดินคืนก่อนมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และมีการทำสัญญาซื้อคืนและสัญญาค้ำประกันไว้ตามสัญญาจะซื้อที่ดินและสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย ล. ๑ และ ล. ๒ โดยกำหนดซื้อคืน ภายใน ๑ ปี ในราคาสูงกว่าเดิม ซึ่งส่วนต่างของราคานี้ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อ้างว่าเป็นการคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๓ ต่อเดือน และมีการชำระกันแล้วตามเอกสารหมาย ล. ๓ ก็ตาม ก็หาได้ลบล้างการกระทำของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งมีการหลอกลวงโจทก์ร่วมจนทำให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ไปซึ่งประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองและผู้อื่นอันเข้าลักษณะความผิดฐานฉ้อโกงแต่อย่างใดไม่ ทั้งการซื้อขายที่ดินได้กระทำต่อหน้าเจ้าพนักงานตามแบบนิติกรรมที่แน่นอน แม้มีการให้ผู้ขายซื้อคืนได้ภายใน ๑ ปี ในราคาที่สูงกว่าราคาขายเดิมไม่ว่าส่วนต่างนี้จะเป็นดอกเบี้ยหรือไม่ก็ตาม ข้อนำสืบของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์และโจทก์ร่วมได้ว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาซื้อขายที่ดินจริง มิใช่เป็นสัญญาจำนองที่คู่กรณีประสงค์จะอำพรางนิติกรรมการซื้อขายดังที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ กล่าวอ้าง เมื่อโจทก์ร่วมชำระค่าที่ดินไปเพราะถูกหลอกลวง ความเสียหายย่อมเกิดขึ้นนับแต่วันชำระราคาที่ดิน จึงร้องทุกข์ได้แต่บัดนั้นเป็นต้นไป หาจำต้องรอให้ครบ ๑ ปี เพื่อดูว่ามีการซื้อขายที่ดินคืน และโจทก์ร่วมขาดทุนจากการขายที่ดินคืนเสียก่อนไม่ ข้อที่จำเลยที่ ๒ โอนบ้าน ๑ หลังให้โจทก์ร่วม ก็เป็นเพียงการบรรเทาผลร้ายบางส่วนจากการกระทำผิดทางอาญาฐานฉ้อโกง มิใช่การประนีประนอมยอมความที่มีผลทำให้สิทธิในการดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญาของโจทก์และโจทก์ร่วมระงับไป ดังฎีกาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกาจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกาเป็นข้อต่อมาว่า โจทก์ร่วมตกลงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กับเจ้าของที่ดินโดยตรง คือนายสวัสดิ์ และได้จ่ายเงินให้นายสวัสดิ์เป็นการเสร็จเด็ดขาดแล้ว จำเลยที่ ๑ มีชื่อหลังเช็คเพื่อความสะดวกในการเบิกเงินรับค่านายหน้า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มิได้รับเงินทั้งหมดมาแต่อย่างไร ข้อนี้พยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมาล้วนมีน้ำหนักรับฟังได้อย่างมั่นคงว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันหลอกลวงโจทก์ร่วมให้ซื้อที่ดินทั้งสองครั้ง รวม ๔ แปลง โดยจำเลยที่ ๑ แสดงตนว่าเป็นเจ้าของ ทำให้โจทก์ร่วมเชื่อถือและจ่ายเช็คให้แก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ รวม ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ. ๘ ซึ่งต่อมาจำเลยที่ ๑ ก็ได้นำไปเบิกเงิน อันเป็นการกระทำเพื่อตนหาใช่ไปช่วยเบิกเงินแทนนายสวัสดิ์ โดยเป็นเพียงนายหน้าของนายสวัสดิ์ดังที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกาโต้แย้งไม่ นอกจากนี้ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกาว่า เป็นความบกพร่องของโจทก์ร่วมเองที่ไม่ตรวจสอบหลักฐานที่สำนักงานที่ดินให้ดีก่อน จึงเป็นความสมัครใจจดทะเบียนประเภทขายเพื่ออำพรางนิติกรรมจำนองที่ดินเป็นประกัน หาใช่เป็นความผิดของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่นั้น เห็นว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้อาศัยช่องทางที่นางอรุณได้สนิทสนมคุ้นเคยกับโจทก์ร่วมมานานถึง ๗ ถึง ๘ ปี วางแผนหลอกลวงโจทก์ร่วมให้หลงเชื่อโดยกล่าวอ้างด้วยว่า จำเลยที่ ๑ เป็นญาตินับถือกันเหมือนพี่น้อง ทำให้พฤติกรรมการหลอกลวงขายที่ดินประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนัดชี้แนวเขตที่ดินซึ่งมีการตบตาโจทก์ร่วมด้วยการย้ายหลักเขตที่ดิน จึงทำให้การชี้แนวเขตที่ดินในที่ดินแปลงอื่น ไม่ใช่แปลงที่ปรากฏตามสำเนาโฉนดที่ดินเป็นที่น่าเชื่อถือของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมจึงหลงเชื่อโดยสนิทใจว่าที่ดินที่ชี้นั้นเป็นแปลงที่ทำการซื้อขายกันจริง จึงชำระราคาที่ดินตามที่ได้ตกลงกันไว้ หากมิได้มีการหลอกลวงโจทก์ร่วมเป็นกระบวนการต่อเนื่องโจทก์ร่วมก็คงไม่หลงเชื่อตามที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ หลอกลวง การที่โจทก์ร่วมมิได้ตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินจึงมิใช่เป็นข้อบกพร่องถึงขนาดที่จะทำให้คดีโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ กระทำผิดฐานฉ้อโกง ดังข้ออ้างของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า เนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะส่วนคดีอาญา คดีแพ่งจึงน่าจะตกไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ คืนเงินจำนวน ๓,๔๕๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ร่วม จึงน่าจะคลาดเคลื่อนนั้น เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองบังคับให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันคืนเงินที่ฉ้อโกงไปแก่โจทก์ร่วมตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๔๓ โดยได้หักกับราคาทรัพย์สินที่โจทก์ร่วมได้รับการชดใช้มาบ้าง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งแห่งคำพิพากษาคดีอาญาตามมาตรา ๔๔ วรรคสอง แม้เป็นคดีส่วนแพ่งและศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะส่วนคดีอาญาก็ตาม ศาลก็บังคับให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันรับผิดได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ในข้อหากระทำความผิดฐานฉ้อโกง และบังคับให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ คืนเงินที่ฉ้อโกงแก่โจทก์ร่วมนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.