แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
แม้พินัยกรรมฉบับที่ 2 ของผู้ตาย มีข้อความเขียนระบุไว้ว่า “บุคคลที่ข้าพเจ้าไม่ได้ระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมฉบับนี้ ข้าพเจ้าไม่ประสงค์ให้รับมรดกของข้าพเจ้าแต่อย่างใด” ก็ตาม แต่นอกจากที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมฉบับดังกล่าวแล้วยังมีทรัพย์มรดกอื่น ๆ นอกพินัยกรรมอีกหลายรายการ อีกทั้งในพินัยกรรมฉบับดังกล่าวก็ไม่มีข้อความใด ๆ ที่ระบุให้จำหน่ายทรัพย์มรดกอื่น ๆ ที่มิได้ระบุไว้ในพินัยกรรมเสียทั้งหมดและมิได้ระบุตัวทายาทผู้ถูกตัดมิให้รับมรดกไว้ให้ชัดเจนตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1608 วรรคสอง กรณีจึงถือไม่ได้ว่าบรรดาทายาทโดยธรรมผู้ที่มิได้รับประโยชน์จากพินัยกรรมซึ่งมีผู้ร้องรวมอยู่ด้วยเป็นผู้ถูกตัดมิให้รับมรดกที่มิได้ระบุไว้ในพินัยกรรมฉบับดังกล่าว ผู้ร้องจึงยังคงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายและมีสิทธิมายื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งถอนผู้คัดค้านที่ 2 จากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้
ตามประเด็นข้อกฎหมายที่ผู้ร้องยกขึ้นอ้างในการยื่นฎีกาว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8045/2544 ที่ตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมของ ต. ผู้ตายนั้นหมายความว่าผู้คัดค้านที่ 2 มีสิทธิที่จะจัดการมรดกของผู้ตายเฉพาะที่ระบุไว้ในพินัยกรรมฉบับดังกล่าวเท่านั้น โดยผู้คัดค้านที่ 2 ไม่มีสิทิและหน้าที่ที่จะไปจัดการทรัพย์มรดกนอกพินัยกรรมหรือที่มิได้ระบุไว้ในพินัยกรรมฉบับดังกล่าวแต่อย่างใดใช่หรือไม่ เพียงใด เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อีกทั้งเป็นเรื่องนอกประเด็น เพราะประเด็นในคดีนี้มีเพียงว่าผู้คัดค้านที่ 2 เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกต่อไปหรือไม่เท่านั้น ไม่มีประเด็นว่าผู้คัดค้านที่ 2 จะจัดการทรัพย์มรดกที่มิได้ระบุไว้ในพินัยกรรมฉบับดังกล่าวได้หรือไม่ จึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง แต่ข้ออ้างข้อเถียงของผู้ร้องในเรื่องนี้เกี่ยวข้องพาดพิงถึงการวินิจฉัยตามคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับก่อนในคดีเดียวกันนี้ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปในทางเสียหายต่อคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวขึ้นได้ จึงเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนั้น แม้ผู้ร้องจะมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นกล่าวในศาลล่าง ศาลฎีกาก็เห็นสมควรวินิจฉัยให้
ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8045/2544 ที่พิพากษาตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมของ ต. ผู้ตายโดยกำหนดให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายนั้นมีความหมายว่าผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกโดยคำสั่งศาลตาม ป.พ.พ. มาตรา 1711 โดยมีสิทธิและหน้าที่ที่จะทำการอันจำเป็นเพื่อให้การเป็นไปตามคำสั่งแจ้งชัดหรือโดยปริยายแห่งพินัยกรรมและเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไปหรือเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 มิได้จำกัดให้ผู้คัดค้านที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่ที่จะจัดการมรดกเฉพาะเท่าที่ระบุไว้ในพินัยกรรมเท่านั้น แต่ให้มีอำนาจในการจัดการมรดกโดยทั่วไป ซึ่งหมายความถึงทรัพย์มรดกทั้งหมดของผู้ตายเท่าที่มีอยู่ไม่ว่าจะระบุไว้ในพินัยกรรมหรือไม่ก็ตาม ฉะนั้นการที่ผู้ร้องฎีกาโต้แย้งว่า ผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกตามคำพิพากษาศาลฎีกา 8045/2544 ไม่มีอำนาจจัดการทรัพย์มรดกนอกพินัยกรรมหรือที่มิได้ระบุไว้ในพินัยกรรมแต่ประการใดนั้น เป็นการนำคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับมาแปลความเบี่ยงเบนกล่าวอ้างให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองเพื่อให้ได้เป็นผู้จัดการมรดกในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์มรดกอื่น ๆ ที่ผู้ตายมิได้ระบุไว้ในพินัยกรรมอันเป็นการไม่ชอบ
ตามคำร้องของผู้ร้องในคดีนี้ว่า ผู้ร้องเพียงแต่ขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้คัดค้านที่ 2 จากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเท่านั้น หาได้ขอให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกไม่ ดังนั้น แม้ผู้ร้องจะนำสืบและอุทธรณ์ฎีกาขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่ศาลไม่อาจมีคำสั่งหรือคำพิพากษาตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้เพราะเกินคำขอต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกามีคำสั่งตั้งร้อยตรีเล็ก ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมของนายเติม ผู้ตาย
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอขอให้มีคำสั่งถอนผู้คัดค้านที่ 2 ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้านว่า ข้อกำหนดเกี่ยวกับทรัพย์สินในพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2535 ไม่ได้เพิกถอนข้อกำหนดอันเกี่ยวกับทรัพย์สินในพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 21 มิถุนายน 2534 ดังนั้น พินัยกรรมฉบับลงวันที่ 21 มิถุนายน 2534 ยังมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ทรัพย์สินที่กำหนดไว้จึงต้องแบ่งปันแก่ทายาทตามพินัยกรรม ซึ่งไม่ใช่ผู้ร้อง เหตุที่ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกเพราะทรัพย์มรดกได้ระบุไว้ในพินัยกรรมที่ทุกฝ่ายทราบดีและอยู่ในระหว่างจัดการมรดก แต่ที่ไม่สามารถจัดการมรดกได้ภายในเวลาอันสมควร เนื่องจากข้อกำหนดในพินัยกรรมระบุให้ขายที่ดินเพื่อสร้างพระพุทธรูปแต่ยังไม่อาจขายที่ดินได้ ส่วนเงินค่าเวนคืนที่ดินที่จะได้รับจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทยนั้นผู้ร้องแจ้งอายัดไว้ ผู้คัดค้านที่ 2 จึงไม่อาจรับเพื่อมาแบ่งปันแก่ทายาทได้ สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 20334 (ที่ถูกน่าจะเป็น 20374) มีผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้ตายรวม 10 คน ซึ่งบางคนถึงแก่ความตายและอยู่ในระหว่างยื่นคำร้องขอจัดการมรดก ซึ่งผู้ถือกรรมสิทธิ์ทุกคนต้องร่วมกันรับเงินค่าเวนคืน ผู้คัดค้านที่ 2 จึงยังไม่อาจจัดการมรดกส่วนนี้ ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ได้ละเลยไม่จัดการมรดกตามหน้าที่และได้จัดการมรดกโดยสุจริต ไม่มีเจตนาปิดบังทรัพย์มรดกแต่อย่างใด ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติได้ว่า นายเติม เจ้ามรดกมีบุตร 2 คน คือ ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้ร้อง ส่วนผู้คัดค้านที่ 2 เป็นน้องชายของนายเติม เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2539 นายเติมถึงแก่ความตาย ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนายเติม แต่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำคัดค้าน ในระหว่างพิจารณาผู้คัดค้านที่ 1 ถึงแก่ความตาย ต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษาตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของนายเติมผู้ตาย หลังจากนั้นผู้ร้องแจ้งให้ผู้คัดค้านที่ 2 แบ่งปันทรัพย์มรดกตามโฉนดที่ดินเลขที่ 5086, 3183, 1115, 20374 และเงินค่าเวนคืนที่ดินโฉนดเลขที่ 5086 และ 1213 จากการทางพิเศษแห่งประเทศไทยตามเอกสารหมาย ร. 7 ถึง ร. 12 ให้แก่ผู้ร้องในฐานะทายาทโดยธรรม แต่ผู้คัดค้านที่ 2 ยังไม่ดำเนินการให้ คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องเป็นประการแรกว่า ผู้ร้องมิได้เป็นผู้มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายจึงมิใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายและไม่มีสิทธิมายื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งถอนผู้คัดค้านที่ 2 ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า แม้พินัยกรรมฉบับที่ 2 ของผู้ตายตามเอกสารหมาย ร.ค. 2 ฉบับที่ 1 ซึ่งทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 2 ยอมรับความถูกต้องแท้จริงจะมีข้อความเขียนระบุไว้ว่า “บุคคลที่ข้าพเจ้าไม่ได้ระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมฉบับนี้ ข้าพเจ้าไม่ประสงค์ให้รับมรดกของข้าพเจ้าแต่อย่างใด” ก็ตาม แต่เมื่อได้ความว่านอกจากที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมฉบับดังกล่าวแล้วยังมีทรัพย์มรดกอื่น ๆ นอกพินัยกรรมอีกหลายรายการ เช่น เงินสด บ้านและที่ดิน ตลอดจนสิทธิอื่น ๆ ของผู้ตายเป็นต้น นอกจากนั้นยังอาจมีทรัพย์สินอื่น ๆ ของผู้ตายที่ตกทอดเป็นมรดกอีก ทั้งในพินัยกรรมฉบับดังกล่าวก็ไม่มีข้อความใด ๆ ที่ระบุให้จำหน่ายทรัพย์มรดกอื่น ๆ ที่มิได้ระบุไว้ในพินัยกรรมเสียทั้งหมดและมิได้ระบุตัวทายาทผู้ถูกตัดมิให้รับมรดกไว้ให้ชัดเจนตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1608 วรรคสอง กรณีจึงถือไม่ได้ว่าบรรดาทายาทโดยธรรมผู้ที่มิได้รับประโยชน์จากพินัยกรรมตามเอกสารหมาย ร.ค. 2 ฉบับที่ 1 ซึ่งมีผู้ร้องรวมอยู่ด้วยเป็นผู้ถูกตัดมิให้รับมรดกที่มิได้ระบุไว้ในพินัยกรรมฉบับดังกล่าว ผู้ร้องจึงยังคงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายและมีสิทธิมายื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งถอนผู้คัดค้านที่ 2 จากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้ ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำร้องของผู้ร้องด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงเป็นการมิชอบ ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ฟังขึ้น
คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องต่อไปว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8045/2544 ที่ตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมของนายเติมผู้ตายนั้นหมายความว่าผู้คัดค้านที่ 2 มีสิทธิที่จะจัดการมรดกของผู้ตายเฉพาะที่ระบุไว้ในพินัยกรรมฉบับดังกล่าวเท่านั้น โดยผู้คัดค้านที่ 2 ไม่มีสิทธิและหน้าที่ที่จะไปจัดการทรัพย์มรดกนอกพินัยกรรมหรือที่มิได้ระบุไว้ในพินัยกรรมฉบับดังกล่าวแต่อย่างใดใช่หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ข้อกฎหมายตามประเด็นที่ผู้ร้องยกขึ้นอ้างในการยื่นฎีกามานี้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ อีกทั้งเป็นเรื่องนอกประเด็น เพราะประเด็นในคดีนี้มีเพียงว่าผู้คัดค้านที่ 2 เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกต่อไปหรือไม่เท่านั้น ไม่มีประเด็นว่าผู้คัดค้านที่ 2 จะจัดการทรัพย์มรดกที่มิได้ระบุไว้ในพินัยกรรมฉบับดังกล่าวได้หรือไม่ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตามศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นว่า ข้ออ้างข้อเถียงของผู้ร้องในเรื่องนี้เกี่ยวข้องพาดพิงถึงการวินิจฉัยตามคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับก่อนในคดีเดียวกันนี้ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปในทางเสียหายต่อคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวขึ้นได้ จึงนับว่าเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนั้นแม้ผู้ร้องจะมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นกล่าวในศาลล่าง ศาลฎีกาก็เห็นสมควรวินิจฉัยให้ไปเสียเลยทีเดียว พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8045/2544 ที่พิพากษาตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมของนายเติมผู้ตายโดยกำหนดให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายนั้น มีความหมายว่าผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกโดยคำสั่งศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1711 โดยมีสิทธิและหน้าที่ที่จะทำการอันจำเป็นเพื่อให้การเป็นไปตามคำสั่งแจ้งชัดหรือโดยปริยายแห่งพินัยกรรมและเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไปหรือเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 มิได้จำกัดให้ผู้คัดค้านที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่ที่จะจัดการมรดกเฉพาะเท่าที่ระบุไว้ในพินัยกรรมตามเอกสารหมาย ร.ค. 2 ฉบับที่ 1 เท่านั้น แต่ให้มีอำนาจในการจัดการมรดกโดยทั่วไปซึ่งหมายความถึงทรัพย์มรดกทั้งหมดของผู้ตายเท่าที่มีอยู่ไม่ว่าจะระบุไว้ในพินัยกรรมหรือไม่ก็ตาม ฉะนั้นการที่ผู้ร้องฎีกาโต้แย้งว่า ผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8045/2544 ไม่มีอำนาจจัดการทรัพย์มรดกนอกพินัยกรรมหรือที่มิได้ระบุไว้ในพินัยกรรมแต่ประการใดนั้น เป็นการนำคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับดังกล่าวมาแปลความเบี่ยงเบนกล่าวอ้างให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองเพื่อให้ได้เป็นผู้จัดการมรดกในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์มรดกอื่น ๆ ที่ผู้ตายมิได้ระบุไว้ในพินัยกรรมอันเป็นการไม่ชอบ ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยในประการต่อไปอีกว่า มีเหตุสมควรที่จะตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกนอกพินัยกรรมหรือที่มิได้ระบุไว้ในพินัยกรรมฉบับที่ 2 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2535 หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ปรากฏตามคำร้องของผู้ร้องในคดีนี้ว่า ผู้ร้องเพียงแต่ขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้คัดค้านที่ 2 จากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเท่านั้น หาได้ขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกไม่ ดังนั้นแม้ผู้ร้องจะนำสืบและอุทธรณ์ฎีกาขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย แต่ศาลย่อมไม่อาจมีคำสั่งหรือคำพิพากษาตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้เพราะเกินคำขอต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ