คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3605/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าได้มอบอำนาจให้ น. เป็นผู้รับมอบอำนาจและแต่งทนายโจทก์จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่าโจทก์มิได้มอบอำนาจดังกล่าวไว้ คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย เรื่องการมอบอำนาจ ไม่มีกรณีต้องใช้หนังสือมอบอำนาจเป็นพยานหลักฐานแม้หนังสือมอบอำนาจจะไม่มีการขีดฆ่าอากรแสตมป์ก็รับฟังได้ คดี จึงต้องฟังว่า น. เป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกาเพียงในข้อที่ขอให้ยกคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางเท่านั้น มิได้ยกข้อพิพาทในเนื้อหาของคดีขึ้นมาในอุทธรณ์ และมิได้ขอให้พิพากษาตามคำขอของโจทก์ดังที่ฟ้องมาศาลฎีกาจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจพิจารณาข้อพิพาทในส่วนที่นอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องอุทธรณ์ได้ และกรณีไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายนครรัตน์ เมธีระวัฒน์ เป็นผู้รับมอบอำนาจและแต่งตั้งทนายความแทนโจทก์ ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งประเมินอากรของจำเลย และให้จำเลยคืนเงินประกันค่าภาษีอากรจำนวน151,000 บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า การประเมินของจำเลยถูกต้องชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพราะมิได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์มีอำนาจแต่งทนายความฟ้องคดีหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์นั้นโจทก์ได้กล่าวไว้ในคำฟ้องว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายนครรัตน์เป็นผู้รับมอบอำนาจแทน และแต่งตั้งทนายความแทนโจทก์ตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 2 จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่า โจทก์มิได้มอบอำนาจให้นายนครรัตน์หรือการมอบอำนาจตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ไม่ถูกต้องอย่างใด คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในเรื่องการมอบอำนาจ จึงไม่มีกรณีที่จะต้องใช้หนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 เป็นพยานหลักฐาน ดังนั้น การที่ศาลภาษีอากรกลางยกเอาการที่เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ไม่ขีดฆ่าอากรแสตมป์มาฟังว่าการมอบอำนาจรับฟังไม่ได้นั้นจึงเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบ คดีต้องฟังว่านายนครรัตน์เป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์มีอำนาจแต่งทนายให้ฟ้องคดีได้ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น แม้คดีจะได้มีการสืบพยานในประเด็นที่พิพาทกันมาครบถ้วนแล้ว แต่อุทธรณ์ของโจทก์คงอุทธรณ์เฉพาะในข้อที่ขอให้ยกคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางเท่านั้น แม้จะเสียค่าขึ้นศาลเต็มจำนวนทุนทรัพย์ตามคำฟ้องก็เป็นการเสียเกินมา แต่เมื่อในคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์มิได้ยกข้อพิพาทในเนื้อหาของคดีขึ้นมาในคำฟ้องอุทธรณ์และมิได้ขอให้พิพากษาตามคำขอของโจทก์ตามที่ฟ้องมา ศาลฎีกาจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจพิจารณาข้อพิพาทในส่วนที่นอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องอุทธรณ์ได้
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ให้ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาประเด็นที่ยังมิได้วินิจฉัยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาท ให้โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากนี้ให้ศาลภาษีอากรกลางรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่.

Share