แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สำเนาเอกสารสัญญาจะซื้อขายที่ดินที่โจทก์อ้างเป็นพยานเป็นเอกสารที่จำเลยนำมามอบให้แก่โจทก์ร่วมศาลรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้แม้เอกสารดังกล่าวจะไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา118ก็ตามจะใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้เฉพาะคดีแพ่งเท่านั้นไม่รวมถึงคดีอาญาด้วย โจทก์บรรยายฟ้องความผิดฐานปลอมเอกสารปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมว่าโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายป.ส.ช.ล.ผู้อื่นและประชาชนโดยไม่ได้บรรยายว่าจะเกิดความเสียหายอย่างใดการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วมเพราะโจทก์ร่วมอาจจะฟ้องร้องให้ผู้มีชื่อเป็นผู้จะขายที่ดินโอนที่ดินให้โจทก์ร่วมนั้นมิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,264, 268, 352 และให้จำเลยใช้เงิน 353,000 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสอง
จำเลย ให้การ ปฎิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายโชคดี เดชกำแหง ผู้เสียหายที่ 1ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264, 268, 91 เรียงกระทงลงโทษตามมาตรา 268 ให้จำคุกกระทงละ 2 เดือน รวม 4 กระทง จำคุก 8 เดือน ส่วนข้อหาและคำขออื่นให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 222 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่าเอกสารหมาย จ.8 จ.9จ.10 และ จ.12 เป็นเอกสารปลอม เมื่อปรากฎว่าเอกสารหมายจ.8 จ.9 จ.10 และ จ.12 จำเลยเป็นผู้นำมามอบให้โจทก์ร่วมเพื่อเป็นหลักฐานแสดงต่อโจทก์ร่วม จึงน่าเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสาร ที่จำเลยฎีกาในข้อแรกว่าสัญญาจะซื้อขายที่ดินตามเอกสารหมาย จ.8, จ.96 จ.10 และ จ.12 เป็นภาพถ่ายสำเนาเอกสารสัญญา ไม่มีผู้ใดรับรองความถูกต้อง ไม่มีพยานรู้เห็นไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องตามประมวลรัษฎากรเอกสารดังกล่าวจึงต้องห้ามอ้างและใช้เป็นพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 238 วรรคแรกนั้น เห็นว่า เอกสารหมาย จ.8จ.9 จ.10 และ จ.12 แม้จะเป็นสำเนาแต่ก็เป็นเอกสารที่จำเลยนำมามาอบให้แก่โจทก์ร่วม ทั้งยังได้ความจากคำเบิกความจากนายชูชาติ พวงคำ นายปาน ปัญญา และนายสี กองพรม ซึ่งมีชื่อเป็นผู้จะขายที่ดินตามเอกสารหมาย จ.8 จ.9 และ จ.10 ว่าไม่เคยขายที่ดินตามเอกสารดังกล่าวให้แก่จำเลย และจำเลยเองก็นำสืบรับว่าสัญญาซื้อขายที่ดินตามเอกสารหมาย จ.8 จ.9 และ จ.10 ไม่มีการทำสัญญาซื้อขายกันจริง ส่วนเอกสารหมาย จ.12 ซึ่งมีชื่อนายล้อม อุ่นพิมพ์ เป็นผู้จะขายที่ดินจำนวน 44 ไร่ นายล้อมก็ได้มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ขายที่ดินให้จำเลย 10 ไร่ในราคาไร่ละ 2,500 บาท ได้ทำสัญญากันไว้ตามเอกสารหมาย จ.11ไม่ใช่เอกสารหมาย จ.12 ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็ฟังข้อเท็จจริงว่าเอกสารหมาย จ.11 เป็นต้นฉบับของเอกสารหมาย จ.12 ดังนั้นแม้เอกสารหมาย จ.8 จ.9 จ.10 และ จ.12 จะเป็นเพียงสำเนา ศาลก็รับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ ส่วนที่จำเลยอ้างว่าเอกสารดังกล่าวไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องตามประมวลรัษฎากรใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้น ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118บัญญัติว่า “ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์จะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้” เห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวตราสารที่ปิดแสตมป์ไม่บริบูรณ์จะใช้เป็นหลักฐานไม่ได้เฉพาะคดีแพ่งเท่านั้นไม่รวมถึงคดีอาญาด้วย
ที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยน่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วมเพราะโจทก์ร่วมอาจจะฟ้องร้องให้ผู้มีชื่อเป็นผู้จะขายที่ดินโอนโฉนดที่ดินให้โจทก์ร่วมได้นั้นเป็นการวินิจฉัยนอกคำฟ้องของโจทก์และโจทก์ร่วมเพราะโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ได้บรรยายในคำฟ้องว่าเกิดความเสียหายแต่อย่างใดนั้น เห็นว่า ความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมนั้น เพียงแต่กระทำโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงก็เป็นความผิดแล้ว การที่จำเลยปลอมเอกสารหมาย จ.8 จ.9 จ.10 จ.12และใช้เอกสารปลอมดังกล่าวโดยการนำมามอบให้แก่โจทก์ร่วมเพื่อให้โจทก์ร่วมเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง เห็นได้ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วม และผู้มีชื่อเป็นผู้จะขายที่ดินตามเอกสารดังกล่าวแล้ว ดังนั้นแม้ในคำฟ้องของโจทก์และโจทก์ร่วมจะบรรยายแต่เพียงว่าโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายที่ 1 นายปาน ปัญญา นายสี กองพรม นายชูชาติ พวงคำนายล้อม อุ่นพิมพ์ ผู้อื่นและประชาชนโดยไม่ได้บรรยายว่าจะเกิดเสียหายอย่างใด การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยน่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วมเพราะโจทก์ร่วมอาจจะฟ้องร้องให้ผู้มีชื่อเป็นผู้จะขายที่ดินโอนโฉนดที่ดินให้โจทก์ร่วมได้จึงมิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องแต่อย่างใด
พิพากษายืน