คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9626/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจาก จ. โดยไม่สุจริต เพราะโจทก์ทราบว่าจำเลยได้ฟ้อง จ. ให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินพิพาทในข้อหานิติกรรมอำพรางใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าสัญญาขายฝากระหว่างจำเลยกับ จ. เป็นนิติกรรมที่ไม่สมบูรณ์ ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย แต่ข้ออ้างของจำเลยในเรื่องความไม่สมบูรณ์ของนิติกรรมขายฝากที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับ จ. และจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้ คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ โดยอ้างว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจาก จ. ภายหลังเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาไถ่ที่จำเลยผู้ขายฝากจะมีสิทธิไถ่คืนจาก จ. ผู้ซื้อฝากแล้ว เมื่อ จ. มิได้อยู่ในฐานะคู่ความในคดีนี้ ข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยจึงเป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องดำเนินคดีแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวให้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นของจำเลย แม้จำเลยจะได้ฟ้อง จ. ต่อศาลชั้นต้นขอให้มีคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินพิพาท แต่ปรากฏว่าจำเลยได้ถอนฟ้องคดีดังกล่าวและศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความแล้ว ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนนิติกรรมให้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นของจำเลย โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินจึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารพร้อมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 11020 ตำบลโพธิ์กลาง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ห้ามมิให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้อง ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารกับรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้อง และขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนเพิกถอนหนังสือสัญญาขายที่ดินโฉนดเลขที่ 11020 ตำบลโพธิ์กลาง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างโจทก์กับนางใจทิพย์ ฉบับลงวันที่ 28 กันยายน 2544
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอถอนฟ้องแย้งที่ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนเพิกถอนหนังสือสัญญาขายที่ดินโฉนดเลขที่ 11020 ตำบลโพธิ์กลาง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างโจทก์กับนางใจทิพย์ ฉบับลงวันที่ 28 กันยายน 2544 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 11020 ตำบลโพธิ์กลาง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 1,500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินของโจทก์เสร็จสิ้น และให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 1,500 บาท
จำเลยีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2541 จำเลยได้จดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 11020 ตำบลโพธิ์กลาง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ไว้แก่นางใจทิพย์ มีกำหนดเวลาขายฝาก 1 ปี ต่อมาวันที่ 28 กันยายน 2544 นางใจทิพย์ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในราคา 500,000 บาท ปัญหาตามฎีกาของจำเลยมีว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยซื้อจากนางใจทิพย์ เจ้าของที่ดินเดิมที่รับซื้อฝากจากจำเลยและจำเลยมิได้ไถ่ภายในกำหนด ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางใจทิพย์ แล้วนางใจทิพย์ได้นำมาขายให้แก่โจทก์ จำเลยให้การว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนางใจทิพย์โดยไม่สุจริต เพราะโจทก์ทราบว่าจำเลยได้ฟ้องนางใจทิพย์เป็นจำเลยขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินพิพาทในข้อหานิติกรรมอำพราง ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าสัญญาขายฝากระหว่างจำเลยกับนางใจทิพย์เป็นนิติกรรมที่ไม่สมบูรณ์ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย แต่ข้ออ้างของจำเลยในเรื่องความไม่สมบูรณ์ของนิติกรรมขายฝากที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับนางใจทิพย์ และจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้ คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยอ้างว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนางใจทิพย์ภายหลังเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาไถ่ที่จำเลยผู้ขายฝากจะมีสิทธิไถ่คืนจากนางใจทิพย์ผู้ซื้อฝากแล้วเมื่อนางใจทิพย์มิได้อยู่ในฐานะคู่ความในคดีนี้ ข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ว่าสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยกับนางใจทิพย์เป็นนิติกรรมอำพรางและใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมก็ดี หรือโจทก์รับโอนที่ดินพิพาทจากนางใจทิพย์โดยไม่สุจริตก็ดี จึงเป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องดำเนินคดีแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวให้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นของจำเลย แม้จำเลยจะได้ฟ้องนางใจทิพย์ต่อศาลชั้นต้น ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินพิพาท แต่ปรากฏว่าจำเลยได้ถอนฟ้องคดีดังกล่าวและศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความแล้ว เมื่อตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนนิติกรรมให้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นของจำเลย โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินจึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ที่ศาลอุทธรณืภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ส่วนีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์กับนางใจทิพย์สมคบกันโดยไม่สุจริต โดยมิได้มีเจตนาซื้อขายที่ดินพิพาทกันจริงนั้น เป็นข้อที่จำเลยมิได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ปัญหาอื่นตามฎีกาของจำเลยไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share