คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2376/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีนี้ผู้ร้องร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้คัดค้านที่ 1 คัดค้านว่าที่ดินพิพาทมีบางส่วนเป็นของผู้คัดค้านที่ 1 โดยการครอบครองปรปักษ์ ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่าที่ดินที่ผู้ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์นั้นเป็นของผู้คัดค้านที่ 1 โดยการครอบครองปรปักษ์บางส่วนหรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยแล้วว่า ผู้คัดค้านที่ 1 อยู่ในที่ดินในฐานะผู้อาศัยเท่านั้น จึงพิพากษายกคำร้องของผู้คัดค้านที่ 1 และศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ดังนั้น การที่ผู้คัดค้านที่ 1 อุทธรณ์ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทอื่น ผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์นั้นเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยในเรื่องนี้จึงชอบแล้ว
ผู้ร้องอนุญาตให้ผู้คัดค้านที่ 1 ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทเพราะเห็นว่าผู้คัดค้านที่ 1 ไม่มีที่ดินอยู่อาศัย และในขณะอาศัยอยู่ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ได้แสดงออกหรือมีการบอกกล่าวเปลี่ยนแปลงลักษณะแห่งการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทต่อผู้ร้องว่าจะยึดถือเพื่อตนเองแต่อย่างใด การครอบครองที่ดินพิพาทของผู้คัดค้านที่ 1 จึงเป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนผู้ร้องเท่านั้น แม้ผู้คัดค้านที่ 1 จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า เดิมที่ดินโฉนดตราจอง เลขที่ 2317 ตำบลพญาแทน อำเภอพิไชย แขวงเมืองพิไชย มณฑลพิศณุโลก (ปัจจุบัน อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์) เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 92 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของนางมาก เมื่อประมาณ 22 ปีที่แล้ว ผู้ร้องได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครอง
ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านและฟ้องแย้งว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ได้เข้าทำประโยชน์โดยปลูกบ้านอยู่อาศัยโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันเกินกว่า 10 ปี ขอให้ยกคำร้องขอและมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทด้านทิศตะวันออก เนื้อที่ประมาณ 1 งาน เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้านที่ 1 โดยการครอบครอง
ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้านและฟ้องแย้ง ขอให้ยกคำร้องขอ และมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาททางด้านทิศตะวันตก เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้านที่ 2 โดยการครอบครอง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ที่ดินตามโฉนดตราจองเลขที่ 2317 ตำบลพญาแทน อำเภอพิไชย แขวงเมืองพิไชย มณฑลพิศณุโลก (ปัจจุบัน อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์) เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 92 ตารางวา ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องกับผู้คัดค้านที่ 2 คนละส่วนเท่า ๆ กัน โดยผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ทางด้านทิศตะวันออก ส่วนผู้คัดค้านที่ 2 ได้กรรมสิทธิ์ทางด้านทิศตะวันตก ยกคำร้องของผู้คัดค้านที่ 1
ผู้คัดค้านที่ 1 อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ข้อแรกมีว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มิได้วินิจฉัยประเด็นที่ว่าการครอบครองที่ดินพิพาทของผู้ร้องมิใช่การครอบครองโดยความสงบเปิดเผยเจตนาเป็นเจ้าของ แต่เป็นการครอบครองแทนทายาทอื่นเพื่อรอการแบ่งแยกมรดกจึงเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินเนื้อที่ 3 ไร่เศษ เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้คัดค้านที่ 1 คัดค้านว่าที่ดินที่ผู้ร้องร้องขอนั้นมีบางส่วนประมาณ 1 งาน เป็นของผู้คัดค้านที่ 1 โดยการครอบครองปรปักษ์ ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่าที่ดินที่ผู้ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์นั้นเป็นของผู้คัดค้านที่ 1 โดยการครอบครองปรปักษ์บางส่วนหรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยแล้วว่า ผู้คัดค้านที่ 1 อยู่ในที่ดินในฐานะผู้อาศัยเท่านั้น ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ พิพากษายกคำร้องของผู้คัดค้านที่ 1 และศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ดังนั้น การที่ผู้คัดค้านที่ 1 อุทธรณ์ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทอื่น ผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์นั้น เป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยในเรื่องนี้จึงชอบแล้ว
ส่วนฎีกาข้อต่อไปที่ว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่นั้น เห็นว่า ข้ออ้างที่ว่านางมากยกที่ดินให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ปลูกบ้าน 1 งาน นั้น คงมีแต่ผู้คัดค้านที่ 1 เท่านั้นเบิกความยืนยันฝ่ายเดียว แต่เมื่อพิจารณาถึงข้อที่ผู้ร้องนำสืบว่านางมากได้แบ่งที่ดินให้แก่บุตร 5 คน ผู้ร้องและบิดาของผู้คัดค้านที่ 1 ก็เป็นบุตรใน 5 คนดังกล่าวก็ได้รับแบ่งไปแล้วโดยผู้ร้องได้ที่ดินพิพาท ซึ่งผู้คัดค้านที่ 1 ก็เบิกความยอมรับว่าบิดาของผู้คัดค้านที่ 1 ก็ได้รับการแบ่งปันที่ดินมาเช่นกัน แต่บิดาของตนได้ขายไปแล้ว ดังนั้น จึงเชื่อได้ตามที่ผู้ร้องนำสืบมาว่าที่ดินพิพาทนั้นนางมากยกให้ผู้ร้องจริง ทั้งไม่ปรากฏว่ามีเหตุผลใดที่นางมากจะต้องยกที่ดินพิพาทนั้นให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 อีก เพราะบิดาของผู้คัดค้านที่ 1 ก็ได้รับส่วนแบ่งที่ดินไปแล้ว อีกทั้งถ้าหากนางมากยกที่ดินพิพาทบางส่วนให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 จริงแล้ว ผู้คัดค้านที่ 1 ก็น่าจะเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยทันทีเพราะขณะนั้นนางมากผู้ยกให้ยังมีชีวิตอยู่จะได้เป็นข้ออ้างอิงต่อบุคคลอื่นได้ แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่าผู้คัดค้านที่ 1 ไปปลูกบ้านในที่ดินพิพาทหลังจากนางมากถึงแก่ความตายไปแล้ว 4 ปี เช่นนี้รูปคดีจึงน่าเชื่อตามที่ผู้ร้องนำสืบว่าผู้ร้องอนุญาตให้ผู้คัดค้านที่ 1 เข้าปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทเพราะผู้คัดค้านที่ 1 ไม่มีที่ดินอาศัยอยู่ และข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้แสดงออกหรือมีการบอกกล่าวเปลี่ยนแปลงลักษณะแห่งการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทต่อผู้ร้องว่าจะยึดถือเพื่อตนเองแต่อย่างใด การครอบครองที่ดินพิพาทของผู้คัดค้านที่ 1 จึงเป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนผู้ร้องเท่านั้น แม้ผู้คัดค้านที่ 1 จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share