คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2344/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองผิดสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนและเรียกค่าเสียหาย ย่อมเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ศาลปกครองจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ มาตรา 9 (4)
ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นที่เป็นศาลยุติธรรม โจทก์กับพวกเคยนำคดีทำนองเดียวกันนี้ไปฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นขอให้จำเลยคดีนี้ร่วมกับกรมป่าไม้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนในผลตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นที่ไม่รับคำฟ้องโจทก์กับพวกไว้พิจารณา โดยวินิจฉัยว่าคดีโจทก์กับพวกอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แม้เหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดขึ้นก่อนศาลปกครองเปิดทำการ และยังไม่พ้นกำหนดเวลาการฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรม แต่ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องคดีเมื่อพ้นเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ศาลปกครองเปิดทำการตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ มาตรา 51 จากนั้นโจทก์จึงนำคดีดังกล่าวมาฟ้องต่อศาลชั้นต้น แม้ศาลชั้นต้นมีความเห็นว่าคดีโจทก์อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองก็ไม่จำต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลฯ มาตรา 10 เพราะศาลปกครองสูงสุดเคยวินิจฉัยแล้วว่าคดีโจทก์อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่มีคำสั่งถึงที่สุดไม่รับฟ้องโจทก์ด้วยเหตุผลว่าพ้นกำหนดเวลาฟ้องคดี ซึ่งศาลชั้นต้นก็มีความเห็นพ้องกับศาลปกครองสูงสุด กรณีมิใช่มีความเห็นแตกต่างกัน ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยอนุญาตให้โจทก์ทำไม้ป่าชายเลนในป่าโครงการคลองจิหลาด (กบ. 28) ในท้องที่ตำบลไสไทย อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ มีกำหนดระยะเวลาให้สัมปทาน 15 ปี ต่อมาอธิบดีกรมป่าไม้มีคำสั่งให้โจทก์ระงับการทำไม้ป่าชายเลนตามเงื่อนไขสัมปทานไว้ก่อนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 แต่การยกเลิกสัมปทานทำไม้ป่าชายเลน เป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มิใช่อำนาจของอธิบดีกรมป่าไม้ เมื่อจำเลยโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ยอมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 1,200,000 บาท เหตุพิพาทคดีนี้เกิดขึ้นก่อนศาลปกครองกลางเปิดทำการ และศาลปกครองสูงสุดเคยวินิจฉัยว่า ศาลยุติธรรมมีอำนาจชำระคดีผิดสัญญาสัมปทาน หากศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมก็ขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 10 วรรคท้าย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,200,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า คดีของโจทก์เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งของศาลปกครองตามมาตรา 9 (4) มิใช่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม โจทก์นำคดีพิพาทนี้ฟ้องต่อศาลปกครองแล้ว ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 130/2546 ไม่รับคำฟ้องของโจทก์เนื่องจากโจทก์ยื่นฟ้องคดีล่วงพ้นกำหนดเวลาฟ้องคดี กรณีไม่มีเหตุที่จะส่งเรื่องนี้ไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามสัญญาสัมปทานโจทก์มีสิทธิทำไม้ป่าชายเลนจนกว่าจะสิ้นสุดระยะเวลา ยกเว้นจำเลยใช้สิทธิตามสัญญาเพิกถอนสัมปทานหรือระงับการทำไม้ตามสัมปทาน หรือจำเลยโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีคำสั่งให้สัมปทานทำไม้สิ้นสุดลงทั้งแปลงหรือให้หยุดกิจการที่ได้รับสัมปทานไว้ชั่วคราวภายในระยะเวลาและเงื่อนไขที่กำหนด แต่จำเลยไม่ได้ใช้สิทธิตามข้อสัญญาหรือใช้อำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว และจำเลยไม่เคยมอบอำนาจให้อธิบดีกรมป่าไม้ดำเนินการแทน จึงยังไม่มีการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าวที่จะเรียกร้องจากจำเลยได้ และคำฟ้องของโจทก์ส่วนนี้เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นรับฟ้องไว้และต่อมาในวันนัดพร้อม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเดิมเป็นไม่รับฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมที่รับฟ้องไว้แล้วเป็นไม่รับฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ขอให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 10 เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองผิดสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนและเรียกค่าเสียหาย ย่อมเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ศาลปกครองจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 9 (4) ข้อเท็จจริงได้ความตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 9 ว่า ก่อนที่โจทก์จะฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้น โจทก์กับพวกรวม 12 คน ต่างเคยนำคดีในทำนองเดียวกันกับคดีนี้ไปฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นขอให้จำเลยในคดีนี้ร่วมกับกรมป่าไม้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนพร้อมดอกเบี้ย โดยอ้างว่าโจทก์กับพวกดังกล่าวได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการขาดรายได้ระหว่างที่ไม่ได้ทำไม้ป่าชายเลนตามคำสั่งของจำเลยในคดีนี้กับกรมป่าไม้ ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนในผลตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นที่ไม่รับคำฟ้องโจทก์กับพวกไว้พิจารณา โดยศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า คดีโจทก์กับพวกเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แม้เหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดขึ้นก่อนศาลปกครองเปิดทำการ และยังไม่พ้นกำหนดเวลาการฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรม แต่การนำคดีดังกล่าวมาฟ้องต่อศาลปกครองต้องเริ่มนับระยะเวลาการฟ้องคดีตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2544 ซึ่งเป็นวันที่ศาลปกครองเปิดทำการ ดังนั้น ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องพ้นกำหนดเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่ศาลปกครองเปิดทำการตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 51 จากนั้นโจทก์จึงนำคดีดังกล่าวของตนมาฟ้องต่อศาลชั้นต้น แม้ศาลชั้นต้นมีความเห็นว่าคดีโจทก์อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นก็ไม่จำต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 10 เพราะศาลปกครองสูงสุดเคยวินิจฉัยแล้วว่าคดีโจทก์อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่มีคำสั่งถึงที่สุดไม่รับฟ้องโจทก์ด้วยเหตุผลว่าพ้นกำหนดเวลาฟ้องคดี ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้มีความเห็นพ้องกับศาลปกครองสูงสุด กรณีมิใช่มีความเห็นแตกต่างกัน ดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเดิมที่รับฟ้องไว้แล้วเป็นไม่รับฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share