คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9463/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด ให้แก่ ช. และ 8 เม็ด ให้แก่สายลับ แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ 2 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 10 เม็ด ให้แก่จำเลยที่ 1 อันเป็นการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนระหว่างจำเลยด้วยกันเอง ไม่เกี่ยวกับ ช. และสายลับ ดังนี้ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ ศาลต้องยกฟ้องในความผิดฐานจำหน่ายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 57, 91 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 83 นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2722/2543, คดีอาญาหมายเลขดำที่ 733/2550 และ 734/2550 ของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2722/2543 ของศาลชั้นต้น ที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 1 ขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ ส่วนจำเลยที่ 2 หลบหนีศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ต่อมาจับกุมจำเลยที่ 2 ได้ ศาลชั้นต้นยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไป โดยจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57, 91 (ที่แก้ไขใหม่), 15 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 ปี รวมจำคุก 4 ปี 3 เดือน ให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 734/2550 หมายเลขแดงที่ 1206/2550 ของศาลชั้นต้น ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2722/2543 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 733/2550 ของศาลชั้นต้น นั้น ปรากฏว่าโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2722/2543 ที่รอการลงโทษไว้นั้น ศาลได้นำมาบวกกับโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1206/2550 แล้ว ส่วนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 733/2550 นั้น ศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษา จึงไม่อาจนับโทษต่อในคดีทั้งสองได้ ให้ยกคำขอของโจทก์ในส่วนนี้
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาโจทก์ประการเดียวว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้นฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีจ่าสิบตำรวจสมศักดิ์ เป็นประจักษ์พยานซึ่งเห็นการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 โดยซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ห่างจากบ้านจำเลยที่ 2 ประมาณ 30 เมตร จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มาที่บ้านของจำเลยที่ 2 เข้าไปพูดคุยกับจำเลยที่ 2 ที่หน้าบ้านแล้วมีการส่งมอบสิ่งของให้แก่กัน ต่อมาภายหลังเมื่อจับกุมจำเลยที่ 2 ได้ ค้นตัวจำเลยที่ 2 ก็พบธนบัตรฉบับละ 20 บาท จำนวน 6 ฉบับ ซึ่งเป็นธนบัตรส่วนหนึ่งที่เจ้าพนักงานตำรวจมอบให้สายลับไปทำการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากตัวจำเลยที่ 2 ที่กระเป๋ากางเกง แม้จะไม่ได้พบธนบัตรที่มอบให้สายลับไปใช้ล่อซื้อทั้งหมด แต่ก็ปรากฏว่าก่อนที่จำเลยที่ 2 จะส่งมอบสิ่งของให้แก่จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 ส่งมอบสิ่งของให้นายชูศักดิ์นั้น จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้านไปทางตลาดนานประมาณ 10 นาที จึงขับกลับมาพบจำเลยที่ 1 ซึ่งรอจำเลยที่ 2 อยู่ที่บ้านจำเลยที่ 2 โดยขณะนั้นนายชูศักดิ์ก็อยู่บ้านจำเลยที่ 2 ด้วย จึงเป็นไปได้ที่จำเลยที่ 2 จะนำเงินที่ได้จากจำเลยที่ 1 ไปใช้ซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจำหน่ายแก่จำเลยที่ 1 ทำให้เหลือเงินซึ่งเป็นธนบัตรที่สายลับใช้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 ไม่ครบจำนวน 600บาท แต่การค้นพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อที่กระเป๋ากางเกงของจำเลยที่ 2 จำนวน 120 บาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธนบัตรที่เจ้าพนักงานตำรวจมอบให้สายลับไปใช้ล่อซื้อก็เป็นพยานหลักฐานสำคัญที่มีน้ำหนักให้รับฟังหรือบ่งชี้ได้แล้วว่า จำเลยที่ 2 ได้รับธนบัตร 120 บาท ที่ใช้ล่อซื้อจากจำเลยที่ 1 ซึ่งได้มาจากสายลับอีกทีหนึ่งแล้ว การที่จ่าสิบตำรวจสมศักดิ์พยานโจทก์แอบซุ่มอยู่บริเวณวัดกุฎิการาม หลังกำแพงรั้ววัดสูงท่วมศีรษะและมีต้นกล้วยขึ้นอยู่ กอต้นกล้วยและใบต้นกล้วยหากแม้อาจจะบังสายตาพยานโจทก์ได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องปิดบังตลอดเวลา เพราะพยานย่อมสามารถจับหรือหลีกไม่ให้กอต้นกล้วยและใบต้นกล้วยบังสายตาได้ ที่จ่าสิบตำรวจสมศักดิ์เห็นการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนจึงน่าเชื่อ ไม่มีพิรุธหรือข้อสงสัยและการที่ค้นพบธนบัตรที่มอบให้สายลับไปใช้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีน ย่อมยืนยันได้แล้วว่า จำเลยที่ 2 ได้รับธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อจากจำเลยที่ 1 เพื่อชำระราคาเมทแอมเฟตามีน เพราะสายลับมอบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนให้จำเลยที่ 1 ส่วนที่ว่าบ้านจำเลยที่ 1 อยู่ห่างจากบ้านของจำเลยที่ 2 ประมาณ 600 เมตร จากบ้านของจำเลยที่ 1 สามารถเดินทางไปบ้านของนางสำเนา โดยใช้เส้นทางผ่านบ้านของจำเลยที่ 2 และนางสำเนามีประวัติเป็นผู้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ทั้งนายชูศักดิ์พยานโจทก์ซึ่งซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 ก็เบิกความว่า ทราบภายหลังว่าจำเลยที่ 1 ซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจากนางสำเนานั้น เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์นำสืบฟังได้ชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยที่ 1 ซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลยที่ 2 จำนวน 10 เม็ด และขายต่อให้นายชูศักดิ์ 2 เม็ด ส่วนที่เหลืออีก 8 เม็ด จะนำไปขายให้แก่สายลับซึ่งทำการล่อซื้อโดยชำระราคาแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย 10 เม็ด และจำหน่ายให้แก่จำเลยที่ 1 จำนวน 10 เม็ด ไม่มีเหตุสงสัยว่านางสำเนาเป็นผู้กระทำความผิด แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด ให้แก่นายชูศักดิ์ และ 8 เม็ด ให้แก่สายลับ แต่ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 2 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 10 เม็ด ให้แก่จำเลยที่ 1 อันเป็นการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนระหว่างจำเลยทั้งสองด้วยกันเอง ไม่เกี่ยวกับนายชูศักดิ์และสายลับ ดังนี้ ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ ศาลต้องยกฟ้องในความผิดฐานจำหน่ายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง จำเลยที่ 2 คงมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแต่เพียงกระทงเดียว ที่จำเลยที่ 2 นำสืบต่อสู้ว่าไม่ได้กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยธนบัตรฉบับละ 20 บาท จำนวน 6 ฉบับ จำเลยที่ 2 ได้รับจากจำเลยที่ 1 ซึ่งนำมาชำระหนี้คืนให้ เป็นคำเบิกความลอยๆ ที่ง่ายต่อการกล่าวอ้างไม่มีน้ำหนักฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น แต่คดีนี้ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเฉพาะความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ เมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้สอบถามจำเลยที่ 2 ว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 734/2550 ที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อหรือไม่ จึงไม่อาจนับโทษต่อได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 แล้ว เป็นจำคุก 4 ปี 3 เดือน ให้ยกคำขอในส่วนที่เกี่ยวกับนับโทษต่อ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6

Share