แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ระหว่างพิจารณาโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอม ซึ่งตามสัญญามีเงื่อนไขว่า โจทก์ยอมให้จำเลยใช้ที่ดินของโจทก์ปลูกกล้วยไม้และพืชล้มลุกอายุไม่เกิน 6 ปีมีกำหนด 6 ปี แต่ต้องไม่ทำให้สภาพเนื้อที่ดินของโจทก์ได้รับอันตราย ครบกำหนดแล้วจำเลยจะขนย้ายสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ออกไปถ้าจำเลยผิดสัญญาก็ให้บังคับคดีได้ทันทีนั้น. การที่จำเลยนำลูกรังไปลงทำเป็นถนนในที่พิพาทมีความกว้างประมาณ 3.50เมตร ยาวประมาณ 120 เมตร และเกลื่อนร่องสวนของโจทก์ลงกว้างประมาณ 80 เมตร ย่อมเป็นที่เห็นได้ชัดแจ้งว่าทำให้สภาพเนื้อที่ดินของโจทก์ได้รับอันตรายคือเปลี่ยนสภาพไปจากที่ดินเดิมจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาต่อไปได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
มูลกรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินตามโฉนดของโจทก์ ระหว่างการพิจารณาโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอมซึ่งเนื้อหาตามสัญญาลงวันที่ 11 มกราคม2526 โจทก์มอบให้จำเลยใช้ที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 909 ตำบลสามพรานอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ปลูกกล้วยไม้และพืชล้มลุกมีอายุไม่เกิน6 ปี โดยต้องไม่ทำให้สภาพเนื้อที่ดินได้รับอันตรายเป็นเวลา 6 ปีนับแต่วันทำสัญญายอม และจำเลยยอมชำระค่าใช้ที่ดิน (ซึ่งหมายถึงค่าเช่า) ให้ปีละ 4,500 บาท แล้วจำเลยจะขนย้ายสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆออกไปจากที่ดินของโจทก์ทันที พร้อมกับส่งมอบคืนในสภาพเรียบร้อยถ้าจำเลยผิดสัญญาก็ให้บังคับคดีได้ทันที ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยนำหินลูกรังมาใส่ในที่ดินสวนที่โจทก์ให้เช่า มีความกว้างประมาณ 3.50 เมตร ยาวประมาณ 120 เมตรและโค่นต้นมะพร้าว 2 ต้น ทั้งยังเกลื่อนร่องสวนที่ดินของโจทก์ลงกว้างประมาณ 2 เมตร ยาวประมาณ 80 เมตร ขอให้บังคับจำเลยและบริวารตามคำพิพากษาตามยอม ศาลชั้นต้นสั่งนัดสอบถาม เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน2526 จำเลยแถลงปฏิเสธว่าไม่ได้ตัดต้นมะพร้าว ส่วนที่เกลื่อนร่องสวนลงมาก็เป็นวิธีการธรรมดาเพื่อปลูกกล้วยไม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ส่วนที่จำเลยทำถนนขึ้นมาก็เพื่อใช้เข้าไปกลับรถในที่ดินของจำเลยที่อยู่ติดกับที่ดินของโจทก์เท่านั้น อยู่ในขอบข่ายของสัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว ฟังว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำกันไว้ มีคำสั่งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินทั้งบริวารและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ภายใน 30 วัน มิฉะนั้นให้บังคับคดีต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เว้นแต่วิธีบังคับให้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ, 296 ตรี,296 จัตวา และ 296 เบญจ ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 500 บาทแทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ประเด็นที่จะวินิจฉัยมีว่า จำเลยประพฤติผิดสัญญาประนีประนอมยอมความดังคำร้องขอให้บังคับคดีของโจทก์หรือไม่ตามสัญญาข้อ 1 มีเงื่อนไขว่าโจทก์ยอมให้จำเลยใช้ที่ดินของโจทก์ปลูกกล้วยไม้และพืชล้มลุกอายุไม่เกิน 6 ปี มีกำหนด 6 ปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่ทำให้สภาพเนื้อที่ดินของโจทก์ได้รับอันตราย ในวันนัดสอบถามตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 7 มิถุนายน 2526 จำเลยก็แถลงรับแล้วว่าได้นำลูกรังไปลง เพื่อประโยชน์ให้บริษัทต่าง ๆ ที่มารับกล้วยไม้จากในที่ดินพิพาทเอาออกไปจำหน่ายได้สะดวกขึ้น และเพื่อใช้เข้าไปกลับรถในที่ดินของจำเลยที่อยู่ติดกับที่ดินโจทก์ อันเป็นการยอมรับแล้วว่าถนนลูกรังที่จำเลยทำขึ้นอยู่ในที่ดินของโจทก์ ที่จำเลยฎีกาว่าที่สวนที่เป็นถนนเป็นทางสาธารณะมาก่อนนั้น ไม่มีประเด็นที่ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าวการที่จำเลยเอาดินลูกรังมาลงทำเป็นถนนในที่ดินของโจทก์ที่จำเลยเช่าก็เพื่อความสะดวกและเพื่อผลประโยชน์ของจำเลย ย่อมเป็นที่เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าทำให้สภาพเนื้อที่ดินของโจทก์ได้รับอันตรายคือเปลี่ยนสภาพไปจากที่ดินเดิม จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำกันไว้ โจทก์มีสิทธิขอให้บังคับตามคำพิพากษาต่อไปได้”
พิพากษายืน.