คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3103/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยจะมิได้ว่ากล่าวกันมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้
เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการล้มละลาย ห้างจำเลยที่ 1 ต้องเลิกกันและต้องมีการชำระบัญชี ซึ่งห้างยังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการย่อมเป็นผู้ชำระบัญชีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1249 1251 และมีอำนาจแก้ต่างว่าต่าง ในนามห้างได้ตาม มาตรา 1259(1) โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการให้รับผิดในหนี้ภาษีอากรได้
จำเลยที่ 3 เคยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม 2514 ถึง วันที่ 7 กันยายน 2526 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2528 ก่อนครบกำหนด 2 ปี นับแต่จำเลยที่ 3 ออกจากหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 3 จึงยังคงต้องรับผิดในหนี้ของห้างอยู่ ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 10681080 วรรคหนึ่ง
จำเลยที่ 1 ยื่นแบบแสดงรายการการค้าไม่ครบถ้วน ส่วนที่ยื่นไว้ก็ปรากฏว่าแสดงรายการการค้าต่ำกว่ากำหนดรายรับขั้นต่ำตามที่กองภาษีการค้ากำหนดไว้เจ้าหน้าที่ของโจทก์จึงมีหมายเรียกจำเลยที่ 1 ให้มาไต่สวนกับให้ส่งมอบเอกสารที่ได้ดำเนินกิจการมาให้ตรวจสอบ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ไปให้ไต่สวนและไม่ส่งเอกสารเจ้าพนักงานประเมินจึงทำการตรวจสอบและทำรายงานการตรวจสอบภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2519 ถึง 2521 กับประเมินภาษีในปี พ.ศ. 2522, 2523 แล้วแจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบ ฉะนั้น ภาษีการค้าที่เจ้าพนักงานประเมินดังกล่าวจึงเป็นหนี้เด็ดขาด ตามนัยประมวลรัษฎากร มาตรา 87 ทวิ 88 และจำเลยที่ 1 ไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในปี พ.ศ. 2519 ถึง 2521 เจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้ มีหมายเรียกมาไต่สวนและให้ส่งเอกสารเพื่อทำการตรวจสอบ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ไปให้ไต่สวนและไม่ส่งเอกสารเจ้าพนักงานประเมินจึงได้ ประเมินและแจ้งผลการประเมินให้จำเลยที่ 1 ทราบแล้ว ฉะนั้น ภาษีเงินได้นิติบุคคลดังกล่าวจึงเป็นหนี้เด็ดขาด ตามนัยประมวลรัษฎากร มาตรา 71(1) 21 เมื่อรวมเงินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลกับภาษีเงินได้นิติบุคคล พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแล้วรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 8,278,593.69 บาท จำนวนเงินดังกล่าวเป็นหนี้แน่นอนและไม่น้อยกว่า 500,000 บาทโจทก์ย่อมฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ล้มละลายได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีอำนาจหน้าที่ในการเก็บเงินภาษีต่าง ๆ ตามประมวลรัษฎากร จำเลยที่ ๑ มีวัตถุประสงค์ทำกิจการภัตตาคาร จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรแก่โจทก์ จำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๒๖ จนถึงปัจจุบัน จำเลยที่ ๓ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ กรกฏาคม ๒๕๑๔ จนถึงวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๒๖ จึงต้องรับผิดในหนี้สินของห้างจำเลยที่ ๑ เป็นส่วนตัวด้วย เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม๒๕๑๔ จำเลยที่ ๑ ได้รับอนุญาตให้ตั้งสถานบริการและจดทะเบียนการค้า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ประกอบการค้า มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล มีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยที่ ๑ ได้ชำระเงินภาษีอากรไว้ไม่ถูกต้องครบถ้วน เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ได้มีหมายเรียกให้จำเลยที่ ๑ นำเอกสารและสมุดบัญชีให้มารับทำการตรวจสอบภาษีอากร จำเลยที่ ๑ ได้รับหมายเรียกแล้วไม่ได้ไปพบเจ้าพนักงานประเมินแต่อย่างใด จากการตรวจสอบพบว่าในรอบระยะเวลาบัญชีระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๑ จำเลยที่ ๑ไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและยังพบว่าในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๑ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลไว้ต่ำกว่าความเป็นจริง โดยแสดงรายรับที่เจ้าพนักงานประเมินได้กำหนดรายรับไว้อีกด้วย เจ้าพนักงานประเมินเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ไม่สามารถนำเอกสารสมุดบัญชีหรือหลักฐานอื่นใดทำการชี้แจงให้เป็นการถูกต้องได้ว่าจำเลยที่ ๑ มียอดรายรับตามที่แสดงไว้ในแบบแสดงการเสียภาษีการค้าที่ยื่นไว้ จึงได้ทำการประเมินเสียใหม่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย และตามความเป็นจริง ตามมาตรา ๗๑(๑), ๘๗(๓), ๘๗ ทวิ๘๘, ๘๙(๒) แห่งประมวลรัษฎากร คือ
ก. ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล
รวมภาษีการค้า เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีบำรุงเทศบาลระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๑ จะต้องชำระให้โจทก์ทั้งสิ้น ๗,๔๔๘,๙๓๗.๖๙ บาท
ข. ภาษีเงินได้นิติบุคคล
รวมภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่ม ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ถึงพ.ศ. ๒๕๒๑ จำเลยที่ ๑ จะต้องชำระให้โจทก์ทั้งสิ้น ๘๒๙,๖๕๖ บาท
รวมเงินภาษีการค้า ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีบำรุงเทศบาลพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตาม ข้อ ก. และ ข. แล้ว เป็นเงินทั้งสิ้น๘,๒๗๘,๕๙๓.๖๙ บาท โจทก์ได้ให้เจ้าหน้าที่ติดตามทวงถามจำเลยทั้งสามแล้ว แต่ไม่อาจกระทำได้ เพราะจำเลยที่ ๑ เลิกกิจการปิดสถานที่ประกอบธุรกิจ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ หลบหนี โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ถึง ๒ ครั้ง มีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน แต่จำเลยทั้งสามก็ไม่ชำระหนี้ภาษีอากรให้แก่โจทก์ และไม่ปรากฏว่าจำเลยมีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ ถือได้ว่าจำเลยทั้งสามเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวเป็นหนี้ที่มีจำนวนแน่นอนเกินกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยทั้งสามเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๓ เพราะขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง จำเลยที่ ๓ มิได้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ หุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ เปลี่ยนจากจำเลยที่ ๓มาเป็นจำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๒๖ ในรอบระยะเวลาปีบัญชี พ.ศ. ๒๕๑๙ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๑ ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลไว้ต่ำกว่าความเป็นจริง แต่โจทก์มิได้ใช้อำนาจออกมาหยเรียกจำเลยมาไต่สวน และออกหมายเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสั่งให้จำเลยยื่นรายการหรือพยานหลักฐานตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๙ โจทก์ประเมินภาษีขึ้นเอง โดยไม่ทำให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่สุจริตจึงไม่มีอำนาจฟ้อง มูลหนี้ตามฟ้องเป็นมูลหนี้ที่ไม่แน่นอน เพราะเกิดขึ้นจากการประเมินคามความเข้าใจของโจทก์โดยไม่คำนึงถึงรายได้ที่แท้จริงของจำเลยที่ ๑ และสภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้น การประเมินภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลและภาษีเงินได้นิติบุคคล จึงไม่ถูกต้องและไม่แน่นอน จำเลยทั้งสามไม่มีมูลหนี้ตามทีทโจทก์ฟ้องเพราะตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ จำเลยที่ ๑ ได้ปิดสถานประกอบธุรกิจการค้า โจทก์ก็ทราบ เหตุที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เนื่องจากจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ยังไม่ได้เลิกห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ ๑ และชำระบัญชี แต่จำเลยทั้งสามก็มิได้ประกอบธุรกิจตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙การที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มิได้เลิกห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ ๑ไม่เป็นเหตุให้โจทห์ประเมินภาษีแล้วนำมาฟ้องจำเลยทั้งสามได้ ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง จำเลยที่ ๒เพราะจำเลยที่ ๒ ถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลายไปแล้วตามคดีหมายเลขแดงที่ ล.๑๙๑/๒๕๒๔ ของศาลชั้นต้น ศาลจึงอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นพิจารณษแล้ว มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๔ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรามเนียมแทนโจทก์ ส่วนค่าทนายความนั้นให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดให้ตามที่เห็นสมควร
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ยกขึ้นฎีกาเป็นประเด็นแรกว่า จำเลยที่ ๒ ตกเป็นบุคคลล้มละลายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ ห้างจำเลยที่ ๑ ต้องเลิกกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๕๕(๕) ประกอบมาตรา ๑๐๘๐วรรคหนึ่ง อำนาจต่าง ๆ อยู่ที่ผู้ชำระบัญชีต้องฟ้องจำเลยที่ ๑โดยผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัดทุกคนของจำเลยที่ ๑ เป็นผู้แทนการฟ้องจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ประเด็นที่จำเลยยกขึ้นฎีกานี้จะมิได้ว่ากล่าวกันมาแต่ศาลชั้นต้น แต่เห็นว่าอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ในประเด็นนี้เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการล้มละลาย ห้างจำเลยที่ ๑ ต้องเลิกกัน และต้องมีการชำระบัญชีซึ่งห้างยังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชีและหุ้นส่วนผู้จัดการเป็นผู้ชำระบัญชีตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๔๙, ๑๒๕๑ ฉะนั้นจำเลยที่ ๒ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ ๑ จึงเป็นผู้ชำระบัญชีและผู้ชำระบัญชีย่อมมีอำนาจแก้ต่างว่าต่างในนามของห้างได้ตามมาตรา ๑๒๕๙(๑) โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ หุ้นส่วนผู้จัดการให้จำเลยรับผิดในหนี้ภาษีอากรได้
ประเด็นต่อมาคือโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๓ หรือไม่ เห็นว่าเมื่อโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยที่ ๓ ซึ่งเคยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ กรกฏาคม ๒๕๑๔ถึงวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๒๖ หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนตัวหุ้นส่วนผู้จัดการเป็นจำเลยที่ ๒ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๑, จ.๒ จำเลยที่ ๓ทำหน้าที่หุ้นส่วนผู้จัดการวันสุดท้ายเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๒๖จึงพ้นจากหน้าที่เมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๒๖ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๒๘ ก่อนครบกำหนด ๒ ปี นับแต่ออกจากหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ ๓ จึงยังคงต้องรับผิดในหนี้ของห้างอยู่ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๖๘, ๑๐๘๐ วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๓ แม้จำเลยที่ ๓ จะยังคงเป็นหุ้นส่วนซึ่งจำกัดความรับผิดในห้างจำเลยที่ ๑ ต่อมาก็ตาม
ประเด็นต่อไปมีว่า การประเมินของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบโดยจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ มิได้นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่นว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ ยื่นแบบแสดงรายการการค้าไม่ครบถ้วน ส่วนที่ยื่นไว้ก็ปรากฏว่า แสดงรายการการค้าต่ำกว่ากำหนดรายรับขั้นต่ำที่กองภาษีการค้ากำหนดไว้ตามเอกสารหมาย จ.๗ เจ้าหน้าที่ของโจทก์จึงมีหนังสือเชิญจำเลยที่ ๑มาพบ และหมายเรียกให้มาไต่สวนกับให้ส่งมอบเอกสารที่ได้ดำเนินการมาให้ตรวจสอบปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๕, จ.๖, จ.๓๑ แต่จำเลยที่ ๑ไม่ไปให้ไต่สวนและไม่ส่งเอกสาร เจ้าพนักงานประเมินจึงทำการตรวจสอบและทำรายงานการตรวจสอบภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาลตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ตามเอกสารหมาย จ.๑๔ แล้วแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทราบตามเอกสารหมาย จ.๑๕-จ.๑๗ กับประเมินภาษีในปีพ.ศ. ๒๕๒๒, ๒๕๒๓ แล้วแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทราบด้วย ตามเอกสารหมายจ.๑๘-จ.๒๐ จำเลยที่ ๑ ทราบแล้ว ฉะนั้นภาษีการค้าที่เจ้าพนักงานประเมินดังกล่าวจึงเป็นภาษีเด็ดขาด ตามนัยประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๗ทวิ, ๘๘ จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดในจำนวนเงินภาษีที่เจ้าพนักงานประเมิน ส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้นจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้ในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ถึง ๒๕๒๑ เจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้มีหมายเรียกมาไต่สวนและให้ส่งเอกสารเพื่อทำการตรวจสอบ แต่จำเลยที่ ๑ ไม่ไปให้ไต่สวนและไม่ส่งเอกสาร เจ้าพนักงานประเมินจึงได้ประเมินและแจ้งผลการประเมินไปยังจำเลยที่ ๑ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๒๑-จ.๒๔ จำเลยที่ ๑ ทราบแล้ว ฉะนั้นหนี้ภาษีเงินได้นิติบุคคลจึงเป็นหนี้เด็ดขาดตามนัยประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๑(๑), ๒๑เมื่อรวมเงินภาษีการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคลกับภาษีบำรุงเทศบาลพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแล้วรวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๘,๒๗๘,๕๙๓.๖๙บาท จำนวนเงินดังกล่าวเป็นหนี้แน่นอน และไม่น้อยกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาทโจทก์ย่อมฟ้องจำเลยที่ ๑ ให้ล้มละลายได้ จำเลยที่ ๓ ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการในระหว่างปีที่ประเมินภาษีต้องรับผิดในหนี้ของห้างดังกล่าวแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share