คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1346/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องเป็น2ตอนข้อก.บรรยายว่าจำเลยมีกัญชาจำนวน2ถุงกับอีก1กล่องน้ำหนัก67.8กรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนกฎหมายและข้อข.บรรยายว่าตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยได้จำหน่ายกัญชาให้แก่สายลับที่เข้าล่อซื้อจำนวน1ถุงน้ำหนัก21.8กรัมราคา400บาทอันเป็นยาเสพติดให้โทษส่วนหนึ่งที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายในข้อก.ความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและความผิดฐานจำหน่ายกัญชาเป็นความผิดต่างฐานกันการที่โจทก์แยกฟ้องเป็นข้อก.และข.จึงเห็นเจตนาของโจทก์ว่าขอให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องย่อมหมายความว่าได้กระทำผิดทั้ง2กรรมซึ่งเป็นความผิดต่างกันตามฟ้องจึงต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 26, 67, 75, 76, 102ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 คืนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของริบกัญชาของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 26, 67,75, 76, 102 รวม 3 กระทง เรียงกระทงลงโทษ ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 2 ปี ฐานจำหน่ายกัญชาจำคุก 2 ปี และฐานมีเฮโรอีน จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 5 ปีจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา สมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 2 ปี 6 เดือน คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของริบกัญชาของกลาง
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคแรก,26 วรรคแรก, 67, 75 วรรคแรก, 76 วรรคสอง, 102 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า การที่จำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายกัญชาเป็นความผิดกรรมเดียวหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องเป็น2 ตอน ข้อ ก. บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีกัญชาอันเป็นยาเสพติดในประเภท5 จำนวน 2 ถุง กับอีก 1 กล่อง น้ำหนัก 67.8 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนกฎหมาย และข้อ ข. บรรยายฟ้องว่าตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยได้จำหน่ายกัญชาให้แก่สายลับที่เข้าล่อซื้อจำนวน 1 ถึง น้ำหนัก 21.8 กรัม ราคา 400 บาทอันเป็นยาเสพติดให้โทษส่วนหนึ่งที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายในข้อ ก.โดยฝ่าฝืนกฎหมาย ความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและความผิดฐานจำหน่ายกัญชาเป็นความผิดต่างฐานกันการที่โจทก์แยกฟ้องเป็นข้อ ก. และ ข. จึงเห็นเจตนาของโจทก์ได้ว่า ขอให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องย่อมหมายความว่ารับว่าได้กระทำผิดทั้ง 2 กรรมซึ่งเป็นความผิดต่างกันตามฟ้อง จึงต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำเลยนั้น เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยในความผิดแต่ละกระทงตามอัตราโทษขั้นต่ำที่กฎหมายบัญญัติไว้ทั้งความผิดที่จำเลยถูกฟ้องเป็นความผิดที่ร้ายแรงเป็นภัยต่อสังคมกรณีจึงไม่มีเหตุที่จะลดโทษให้น้อยลงและรอการลงโทษจำเลยศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจในการลงโทษเหมาะสมแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share