คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เช่าซื้อทรัพย์สินจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นโดยสุจริต และได้ชำระเงินครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อแล้ว ทรัพย์สินนั้นย่อมตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าในทำนองเดียวกันกับผู้ให้เช่าได้ขายทรัพย์นั้นให้แก่ผู้เช่า จึงถือได้ผู้เช่าซื้อเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น และไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ซื้อรถยนต์จากจำเลยที่ ๑ และได้ชำระราคาให้แล้ว ได้ติดต่อให้จำเลยที่ ๑ ส่งมอบทะเบียนและหลักฐานการโอน จำเลยที่ ๑ ผัดผ่อนเรื่อยมาจนเลิกกิจการ ต่อมาโจทก์ทราบว่ารถยนต์คันนี้เดิมเป็นของจำเลยที่ ๒ ขายให้จำเลยที่ ๑ แต่ชื่อตามทะเบียนยังเป็นของจำเลยที่ ๒ จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบทะเบียนรถแก่โจทก์ มิฉะนั้นก็ให้มีคำสั่งให้นายทะเบียนยานพาหนะออกทะเบียนหรือใบแทนลงชื่อโจทก์เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษี
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ไม่สิทธิดีกว่าจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าของอันแท้จริงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์คืนรถยนต์พิพาทให้จำเลยที่ ๒ ถ้าคืนไม่ได้ ให้ใช้ราคา ๒๕,๐๐๐บาทแทน
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๒ และมาตรา ๕๗๒ แล้วเห็นว่า การเช่าซื้อนอกจากผู้ให้เช่าตกลงให้ผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งชั่วระยะเวลาอันมีจำกัดแล้ว ผู้ให้เช่ายังได้ให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น หรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าในเมื่อผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราวด้วย ดังนั้นในกรณีที่ผู้เช่าซื้อได้ใช้เงินครบถ้วนให้แก่ผู้ให้เช่าแล้ว ทรัพย์นั้นก็ตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าในทำนองเดียวกันกับผู้ให้เช่าได้ขายทรัพย์นั้นให้แก่ผู้เช่า จึงถือได้ว่าผู้เช่าซื้อซึ่งได้ใช้เงินครบถ้วนแล้วเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๓๓๒
ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าจำเลยที่ ๒ ได้ขายรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยที่ ๑ แต่กลับได้ความว่าจำเลยที่ ๒ ได้ให้นางเส็งเช่าไป จำเลยที่ ๒ จึงยังคงเป็นเจ้าของรถยนต์พิพาท จริงอยู่ โจทก์เป็นผู้ซื้อรถยนต์ตามความในมาตรา ๑๓๓๒ แต่ตามความในมาตรานี้มิได้บัญญัติให้ผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์ หากแต่ให้มีสิทธิชนิดหนึ่งเท่านั้น คือ ให้มีสิทธิที่จะยึดทรัพย์นั้นไว้ได้ ไม่ต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา ฉะนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องร้องบังคับให้จำเลยที่ ๒ ส่งมอบทะเบียนและให้จัดการใส่ชื่อโจทก์ในทะเบียน
ปัญหาต่อไปมีว่า โจทก์จะต้องคืนรถยนต์พิพาทให้จำเลยที่ ๒ หรือไม่ เมื่อคดีได้ความว่า โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อโดยสุจริตจากพ่อค้าที่ขายของชนิดนั้น และได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว และถือว่าเป็นผู้ซื้อดังได้วินิจฉัยมาแล้ว โจทก์ย่อมได้รับความคุ้มครองตามความในมาตรา ๑๓๓๒ คือโจทก์ไม่จำต้องคืนรถยนต์พิพาทให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา เมื่อจำเลยที่ ๒ มิได้เสนอขอชดใช้ราคาตามหน้าที่ของตน ศาลไม่อาจบังคับเรียกคืนทรัพย์สินนั้นจากโจทก์ได้
พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๒ แต่ไม่ขัดสิทธิจำเลยที่ ๒ ที่จะเรียกทรัพย์รายนี้คืนตามสิทธิของตนต่อไป นอกจากที่แก้นี้ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share