คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 942/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฝ่ายหนึ่ง และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 กับพวกอีกฝ่ายหนี่ง บังอาจสมัครใจเข้าใช้กำลังชกต่อยเตะถีบทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน จนจำเลยที่ 3 กับที่ 5 บาดเจ็บ ดังนี้เห็นได้ว่าโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยคนใดทำร้ายใคร และถือไม่ได้ว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยแต่ละฝ่ายต่างร่วมกันมากระทำความผิด ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องฐานทำร้ายร่างกายในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป ซึ่งเมื่อไม่ปรากฎว่ามีบุคคลถึงตายหรือได้รับอันตรายสาหัส โดยการกระทำในการชุลมุนต่อสู้กันตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 294 หรือ 299 แล้วแม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ ๓ สิงหาคม ๒๕๐๖ เวลากลางคืน จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ฝ่ายหนึ่งและจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๗กับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีก ๒ คนฝ่ายหนึ่ง บังอาจสมัครใจเข้าใช้กำลังการชกต่อยเตะถีบทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันจนจำเลยที่ ๓ กับจำเลยที่ ๕ ได้รับบาดเจ็บปรากฎตามรายงานชันสูตรบาดแผล ส่วนจำเลยอื่นไม่ได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดที่ตลาดแม่กลอง ตำบลแม่กลอง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๕,๓๙๑,๘๓
จำเลยทุกคนให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิด ต่อมาจำเลยที่ ๕ ขอถอนคำให้การเดิม ขอรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลจังหวัดสมุทรสงครามเห็นว่า พยานโจทก์เบิกความแตกต่างในข้อสาระสำคัญ ฟังไม่ได้ว่าใครทำร้ายใคร จึงลงโทษจำเลยไม่ได้และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม แม้จำเลยที่๕ รับสารภาพ ก็ลงโทษไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๕ เพราะรับสารภาพ และฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า ทั้งสองฝ่ายสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันถึงบาดเจ็บ เป็นอันชัดแจ้งในข้อหาเรื่องวิวาทแล้ว จึงไม่เคลือบคลุม แต่คดีไม่ปรากฎว่ามีใครบาดเจ็บถึงสาหัสหรือถึงตาย จึงไม่มีบทกฎหมายที่จะลงโทษจำเลย ส่วนคำฟ้องที่ขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๙๕,๓๙๑ โจทก์มิได้บรรยายข้อเท็จจริงมาในฟ้องว่า ใครทำร้ายใครอย่างไร ไม่ถูกต้องประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา๑๕๘(๕),๑๙๒ วรรคแรก ดังนั้น แม้จำเลยที่ ๕ จะรับสารภาพ ก็เป็นคำรับสารภาพในคำฟ้องที่จะลงโทษจำเลยไม่ได้ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า ตามฟ้องย่อมฟังได้ว่า มีบุคคล ๒ ฝ่าย ต่างสมคบเข้าทำร้ายฝ่ายตรงกันข้าม ต้องด้วยลักษณะสมคบ แม้จำเลยคนหนึ่งคนใดของอีกฝ่ายทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งถึงบาดเจ็บ ศาลก็ลงโทษจำเลยทุกคนได้ ขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๕
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยคนใดทำร้ายใคร ซึ่งแสดงว่าในการสอบสวนฟังไม่ได้ว่าใครทำร้ายใคร แม้ตามทางพิจารณาซึ่งยุติในศาลชั้นต้นก็รับฟังไม่ได้ว่าใครทำร้ายใคร ดังนั้น ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องฐานทำร้ายร่างกายในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป ซึ่งถือได้ว่าวิวาททำร้ายกัน แต่ความผิดฐานนี้ศาลจะลงโทษจำเลยได้ต่อเมื่อมีบุคคลถึงตายหรือรับอันตรายสาหัส โดยการกระทำในการชุลมุนต่อสู้นั้น ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๙๔ หรือ๒๙๙ แห่งประมวลกฎหมายอาญา คดีนี้ มีผู้บาดเจ็บไม่ถึงตายหรือสาหัสจึงลงโทษจำเลยไม่ได้ แม้จำเลยที่ ๕ จะให้การรับสารภาพตามฟ้องก็ตาม ข้อที่โจทก์กล่าวในฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์มีลักษณะเป็นการร่วมสมคบกันกระทำผิด และศาลลงโทษจำเลยทุกคนได้นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์ถ้อยคำที่บรรยายในคำฟ้องแล้ว ถือไม่ได้ว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยแต่ละฝ่ายต่างร่วมกันมากระทำผิด ที่จำเลยที่ ๕ รับสารภาพว่าได้กระทำผิดตามฟ้องนั้นเป็นการรับว่าได้กระทำผิดในเรื่องวิวาท ซึ่งจะลงโทษไม่ได้ดังกล่าวมาข้างต้น จำเลยหาได้รับว่าได้ทำร้ายจำเลยที่ ๓ มีบาดเจ็บไม่ จึงลงโทษจำเลยที่ ๕ ฐานทำร้ายร่างกายไม่ได้ และที่โจทก์กล่าวในฎีกาอีกว่าคดีนี้
แม้พยานโจทก์จะเบิกความแตกต่างกันในข้อสำคัญ แต่โจทก์มีนายวิวัฒน์ นายบุญเรือน พยานโจทก์เบิกความตรงกับคำรับสารภาพของจำเลยที่ ๕ ว่า จำเลยที่ ๕ เป็นคนทำร้ายจำเลยที่ ๓ ศาลย่อมลงโทษจำเลยที่ ๕ ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
พิพากษายืน

Share