แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำพิพากษาของศาลชั้นต้นใส่ชื่อกฎหมายที่ใช้ลงโทษจำเลยผิดพลาดไป โดยใช้ประมวลกฎหมายอาญาแทนที่จะเป็นกฎหมายลักษณะอาญาการที่ศาลฎีกาจะแก้ให้ถูกต้องย่อมไม่เป็นผลร้ายแก่จำเลย แม้โจทก์จะไม่ได้อุทธรณ์และฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตามที่ถูกต้องได้
การที่เอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จไปให้การต่อเจ้าพนักงาน ก็เท่ากับแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานนั่นเอง จะอ้างว่าเป็นเรื่องผู้บังคับบัญชาเรียกตนไปสอบถามเอง จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จหาได้ไม่
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2507)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า 1. โจทก์รับราชการในตำแหน่งนายตรวจสรรพสามิตกรมสรรพสามิตตั้งไปเป็นหัวหน้าสายตรวจที่ 3 หน่วยปราบปรามฝิ่นปากน้ำโพ จำเลยก็เป็นนายตรวจสรรพสามิต และกรมสรรพสามิตตั้งจำเลยเป็นผู้ช่วยโจทก์ประจำด่านตรวจฝิ่นปากน้ำโพด้วย 2. จำเลยได้สมคบกับพวกกระทำผิดกฎหมาย คือ เนื่องจากโจทก์ได้สั่งการให้จำเลยดำเนินการจับกุมนายจรูญ สารถีกับพวก ซึ่งสมคบกันมีฝิ่นไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต บังอาจขนฝิ่นผ่านด่านและจำเลยกับพวกจับตัวได้พร้อมฝิ่นของกลางเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2495 ซึ่งในการนี้โจทก์จะได้รับรางวัลเป็นเงิน 4 แสนบาทเศษ แต่จำเลยกับพวกมีเจตนาจะแย่งเงินรางวัลฝิ่นรายนี้ จึงต่อมาจำเลยกับพวกได้บังอาจนำความที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จและอาจทำให้โจทก์เสียหายได้ ไปแจ้งหรือร้องเรียนต่อทางราชการกรมสรรพสามิตเพื่อขอรับเงินรางวัลฝิ่นดังกล่าว โดยแกล้งกล่าวหาโจทก์ด้วยความเท็จว่า โจทก์กระทำการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ โดยสั่งให้จำเลยปล่อยฝิ่นดังกล่าวผ่านด่านปากน้ำโพไป และว่าการจับฝิ่นของกลางกับเจ้าของนั้นเป็นการจับกุมของจำเลยกับพวก เป็นเหตุให้กรมสรรพสามิตสั่งตั้งกรรมการสอบสวนพิจารณาเงินรางวัลฝิ่นดังกล่าว ครั้นแล้วในระหว่างเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2496 จำเลยกับพวกได้บังอาจเอาความที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จ และอาจทำให้โจทก์เสียหายได้ ไปให้การกล่าวโทษใส่ความโจทก์ซึ่งอาจทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงหรืออาจทำให้คนทั้งหลายดูหมิ่นเกลียดชังโจทก์ และจำเลยกล่าวต่อหน้าคนแต่สองคนขึ้นไป โดยให้การต่อคณะกรรมการว่าโจทก์กระทำทุจริตต่อหน้าที่ราชการ สั่งให้จำเลยปล่อยฝิ่นผ่านด่านปากน้ำโพและว่าจำเลยกับพวกเป็นผู้จับเอง หาใช่โจทก์มอบหมายไม่ ความจริงโจทก์มอบหมาย หาได้สั่งให้ปล่อยฝิ่นผ่านด่านไม่ ในที่สุดคณะกรรมการลงความเห็นว่า โจทก์สั่งให้จำเลยปล่อยฝิ่นผ่านด่าน หาใช่มอบหมายให้จำเลยดำเนินการจับกุมไม่กรมสรรพสามิตจึงสั่งจ่ายเงินรางวัลให้จำเลยกับพวกไป 3. กรมสรรพสามิตตั้งกรรมการสอบสวนโจทก์ทางวินัย ครั้นเมื่อวันที่ 15 ถึง 30 กันยายน 2496 จำเลยกับพวกได้นำความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จและอาจทำให้โจทก์เสียหายได้ไปแจ้งหรือร้องเรียนต่อคณะกรรมการดังกล่าวซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน โดยจำเลยกล่าวโทษใส่ความโจทก์ซึ่งอาจทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง หรืออาจทำให้คนทั้งหลายดูหมิ่นเกลียดชังโจทก์ และกล่าวต่อหน้าคนแต่สองคนขึ้นไปว่าโจทก์ได้กระทำทุจริตต่อหน้าที่ ละเว้นไม่กระทำการตามหน้าที่ รับสินบนจากเจ้าของฝิ่นเพื่อที่จะละเว้นไม่จับกุม แล้วโจทก์สั่งให้จำเลยปล่อยฝิ่นผ่านด่านปากน้ำโพอันเป็นข้อความที่กล่าวเกี่ยวกับการกระทำผิดอาญา ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 118, 158,159, 282, 284, 63, 71 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมฯ (ฉบับที่ 3) มาตรา 3, 4
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ความผิดของจำเลยต้องด้วยกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 118 วรรคต้น ฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน และต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 ฐานหมิ่นประมาทโจทก์ ให้ลงโทษตาม มาตรา 282 ซึ่งเป็นบทหนักตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 70 ให้จำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลสั่งรับฎีกาในข้อกฎหมาย 3 ข้อ
ศาลฎีกาปรึกษาในที่ประชุมใหญ่แล้ว วินิจฉัยว่า
1. ตามฎีกาข้อที่ว่า ศาลชั้นต้นว่าจำเลยผิดฐานหมิ่นประมาทแล้ว กลับลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 ซึ่งเป็นความผิดฐานจัดหาหญิงเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น ผิดจากบทกฎหมายที่โจทก์ขอ ศาลฎีกาจะแก้ก็ไม่ได้ เพราะโจทก์ไม่ได้ฎีกา และเป็นผลร้ายแก่จำเลย ทั้งไม่มีกฎหมายให้อำนาจ ต้องยกฟ้องนั้นศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 นั้น เป็นถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาดโดยอ้างชื่อกฎหมายผิดพลาดไป เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาก็ได้สั่งไว้ว่า ในคำพิพากษาศาลอาญาที่ว่า “ต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 นั้น คลาดเคลื่อนไป ที่ถูกเป็นกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 มาตรา 282” ศาลฎีกาไม่เห็นว่า ถ้าศาลฎีกาแก้คำพิพากษาศาลล่างให้ถูกต้องจะเป็นผลร้ายแก่จำเลยอย่างไร และเห็นว่า ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตามที่ถูกต้องได้
2. ตามฎีกาข้อที่ว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาทขาดอายุความแล้วนั้น เห็นว่าตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมานั้น ฟ้องข้อ 2. ไม่ขาดอายุความ เพราะโจทก์ได้ร้องทุกข์ภายในอายุความ 3 เดือนแล้วส่วนคดีตามฟ้องข้อ 3 เฉพาะข้อหาฐานหมิ่นประมาทขาดอายุความจริงแต่ศาลล่างมิได้พิพากษาลงโทษเรียงกระทงความผิดตามฟ้องข้อ 2 และข้อ 3 และศาลฎีกาไม่เห็นควรลงโทษ จึงไม่จำต้องแก้
3. ตามฎีกาข้อที่ว่า ตามข้อเท็จจริงที่ศาลล่างฟังมา ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ เพราะผู้บังคับบัญชาเรียกจำเลยมาสอบถามเองนั้น เห็นว่า การที่เอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จไปให้การต่อเจ้าพนักงาน ก็เท่ากับแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานนั่นเอง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 118 ดังคำพิพากษาฎีกาที่ 1057/2477
พิพากษาแก้เฉพาะว่า จำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 282