คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9413/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยที่ 3 เป็นคนร้ายขณะเกิดเหตุ พยานหลักฐานโจทก์มีเพียงบันทึกการจับกุมบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนที่จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพบันทึกนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและภาพถ่ายซึ่งจำเลยที่ 3 ปฏิเสธในชั้นศาลและไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 ได้รับส่วนแบ่งทรัพย์ที่ถูกปล้น จึงเป็นพยานบอกเล่าที่ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยที่ 3ร่วมปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งสอง

ย่อยาว

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันมากับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 911/2535 หมายเลขแดงที่ 1980/2537 ของศาลชั้นต้นแต่คดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91,340, 340 ตรี พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ,72, 72 ทวิและขอให้นับโทษของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 621/2535 กับให้คืนของกลางแก่เจ้าของและให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 1,375 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสอง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคสองจำคุกคนละ 6 ปี จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ4 ปี ให้จำเลยที่ 1 คืนชิ้นส่วนวิทยุที่เหลือจากการเผาไหม้และให้จำเลยที่ 2 คืนแบตเตอรี่สีแดงและโคมไฟสำหรับส่องจับสัตว์เฉพาะที่รับไว้ฐานรับของโจรแก่ผู้เสียหายทั้งสอง ข้อหาและคำขออื่นให้ยก และยกฟ้องจำเลยที่ 3
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคแรกและมาตรา 72 วรรคแรก, (ที่ถูกเป็นมาตรา 72 วรรคสาม)72 ทวิ วรรคสอง อย่างละกระทง ให้วางโทษจำคุกกระทงละ 1 ปีกับมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี อีกกระทงหนึ่ง วางโทษจำคุก 18 ปีรวมสามกระทงเป็นจำคุก 20 ปี จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง วางโทษจำคุกคนละ 12 ปีคำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสามในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยทั้งสามคนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำเลยที่ 1จำคุก 13 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 2 และที่ 3 จำคุกคนละ 8 ปีคืนของกลางแก่เจ้าของและให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 1,375 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสอง คำขอนับโทษต่อให้ยก
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายพันธ์ ปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งสองหรือไม่ เห็นว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยที่ 3 เป็นคนร้ายขณะเกิดเหตุผู้เสียหายทั้งสองเบิกความว่า ขณะถูกปล้นทรัพย์และผู้เสียหายที่ 2ถูกคนร้ายคุมตัวไปห่างจากบ้านประมาณ 1 กิโลเมตร ไม่เห็นจำเลยที่ 3 เป็นคนร้ายด้วย พยานหลักฐานโจทก์มีเพียงบันทึกการจับกุมที่จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพตามเอกสารหมาย จ.20และบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนที่จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพต่อพันตำรวจตรีสกันต์ สะครรัมย์ ว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายทั้งสองโดยจำเลยที่ 3 รออยู่ห่างจากบ้านผู้เสียหายทั้งสองประมาณ 1 เส้น ตามเอกสารหมาย จ.32 และบันทึกนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ เอกสารหมาย จ.9กับภาพถ่ายหมาย จ.10 ซึ่งจำเลยที่ 3 ได้ปฏิเสธในชั้นศาลและไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 3 ได้รับส่วนแบ่งทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งสองที่ถูกปล้นแต่อย่างใดลำพังพยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นพยานบอกเล่าที่ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายพันธ์ ปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งสอง จำเลยที่ 3 ไม่มีความผิดตามฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share