คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4755/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ขายสินค้าในต่างประเทศได้ว่าจ้างจำเลยที่2ผู้รับขนในต่างประเทศให้ขนส่งสินค้ามายังกรุงเทพมหานครจำเลยที่1เป็นผู้แจ้งกำหนดวันที่เรือจะเข้าให้ผู้รับตราส่งทราบติดต่อกรมศุลกากรกองตรวจคนเข้าเมืองกรมเจ้าท่าการท่าเรือแห่งประเทศไทยค้ำประกันความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องว่าจ้างบริษัทอื่นให้ขนถ่ายสินค้าจากเรือบรรทุกสินค้าลงเรือฉลอมเพื่อนำไปเก็บไว้ที่คลังสินค้าและออกใบสั่งปล่อยสินค้าให้แก่ผู้รับใบตราส่งเพื่อนำไปรับสินค้าการที่จำเลยที่2ซึ่งเป็นผู้รับขนในต่างประเทศไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยจึงย่อมไม่สามารถจะดำเนินการติดต่อและค้ำประกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องว่าจ้างบริษัทอื่นให้ขนถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่ลงเรือเล็กและออกใบสั่งปล่อยสินค้าให้แก่ผู้รับตราส่งเพื่อนำไปรับสินค้าได้การกระทำดังกล่าวเป็นขั้นตอนสำคัญในการรับขนทางทะเลจำเลยที่1จึงเป็นผู้ร่วมขนส่งกับจำเลยที่2อันเป็นการขนส่งโดยมีผู้ขนส่งหลายคนหลายทอดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา618แล้วหาใช่เป็นเพียงตัวแทนของจำเลยที่2ไม่จำเลยที่1จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันภัยสินค้ากระดาษเขียนสีขาวซึ่งบรรทุกมาโดยเรือจากเมืองชาวันนา ประเทศสหรัฐอเมริกามายังกรุงเทพมหานครไว้จากผู้ซื้อ ผู้ขายสินค้าว่าจ้างจำเลยที่ 2ให้ขนส่งสินค้าดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ร่วมขนส่งกับจำเลยที่ 2 และติดต่อกรมศุลกากร กองตรวจคนเข้าเมืองกรมเจ้าท่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย ค้ำประกันความเสียหายและออกใบสั่งปล่อยสินค้า เป็นผู้ขนถ่ายสินค้าจากเรือดังกล่าวไปส่งให้แก่ผู้ซื้อ ปรากฎว่าสินค้าของผู้ซื้อได้รับความเสียหายและสูญหาย ผู้ซื้อเรียกร้องให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย โจทก์ชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้ซื้อไปแล้ว จึงรับช่วงสิทธิค่าเสียหายทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 254,305.45 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 249,885.91 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมกระทำการขนส่งกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทอินเตอร์มารีน อินคอร์ปอเรเต็ด ในส่วนที่เกี่ยวกับพิธีการเรือพิธีการต่าง ๆ ที่จำเลยที่ 1 เข้าไปเกี่ยวข้องตามฟ้อง ไม่ถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ร่วมขนส่งหรือขนส่งหลายคนหลายทอดส่วนจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของเรือ ให้ผู้อื่นเช่าไปรับจ้างขนส่งสินค้า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ขนส่งสินค้าพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 254,305.45 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 249,885.91บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องจำเลยที่ 1
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้ากระดาษเขียนสีขาวซึ่งผู้ขายได้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ผู้รับขนในต่างประเทศให้ขนส่งจากประเทศสหรัฐอเมริกามายังกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 เป็นผู้แจ้งกำหนดวันที่เรือจะเข้าให้ผู้รับตราส่งทราบ ติดต่อกรมศุลกากรกองตรวจคนเข้าเมือง กรมเจ้าท่า การท่าเรือแห่งประเทศไทยค้ำประกันความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องว่าจ้างบริษัทเจริญจิต จำกัด ขนถ่ายสินค้าจากเรือบรรทุกสินค้าลงเรือฉลอมเพื่อนำไปเก็บไว้ที่คลังสินค้า และออกใบสั่งปล่อยสินค้าให้แก่ผู้รับในใบตราส่งเพื่อนำไปรับสินค้า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์เพียงประการเดียวว่า จำเลยที่ 1เป็นผู้ขนส่งร่วมหลายทอดหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนายกิตติ พรหมชาติ ผู้จัดการบริษัทเจริญจิต จำกัด เบิกความเป็นพยานว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างให้บริษัทเจริญจิต จำกัดขนถ่ายสินค้าและเป็นผู้จ่ายค่าจ้างให้ พยานหาได้เบิกความว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างและจ่ายค่าจ้างแทนจำเลยที่ 2 ไม่แม้นายกิตติพล ทองน้อย พนักงานสินไหมภัยทางทะเลของโจทก์จะเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่าพยานเข้าใจว่าจำเลยที่ 2ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 กระทำการแทนจำเลยที่ 2 แต่พยานปากนี้ก็ได้เบิกความตอบคำถามติงของทนายโจทก์ยืนยันว่าจำเลยที่ 1เป็นผู้ติดต่อว่าจ้างให้บริษัทเจริญจิต จำกัด รับสินค้าจากเรือใหญ่ เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับขนในต่างประเทศ ไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย จึงย่อมไม่สามารถที่จะดำเนินการติดต่อและค้ำประกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องว่าจ้างบริษัทอื่นให้ขนถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่ลงเรือเล็ก และออกใบสั่งปล่อยสินค้าให้แก่ผู้รับตราส่งเพื่อนำไปรับสินค้าได้การกระทำดังกล่าวเป็นขั้นตอนสำคัญในการรับขนทางทะเลน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมขนส่งกับจำเลยที่ 2 อันเป็นการขนส่งโดยมีผู้ขนส่งหลายคนหลายทอดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 618 แล้ว หาใช่เป็นเพียงตัวแทนของจำเลยที่ 2 ดังที่นายเจริญรัตน์ หาญเบญจพงศ์ กรรมการของจำเลยที่ 1 เบิกความเป็นพยานจำเลยที่ 1 ลอย ๆ เพียงปากเดียวไม่ จำเลยที่ 1จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ร่วมชำระเงิน 254,305.45บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 249,885.91บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share