คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1719/2523

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยปลูกตึกของจำเลยตามข้อตกลงระหว่างจำเลยกับ ส. แม้จะมีส่วนรุกล้ำอยู่บ้าง ก็ไม่เป็นการทำละเมิดต่อ ส. เมื่อโจทก์รับโอนที่ดินของ ส. มาในสภาพที่มีการรุกล้ำอยู่ก่อนแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเกี่ยวกับการรุกล้ำนั้น

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยปลูกสร้างตึกมีฐานรากและผนังล้ำเข้าไปในที่ดินของนางสุภาพ เป็นการก่อสร้างตามข้อตกลงระหว่างจำเลยกับนางสุภาพ และเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย พิพากษายกฟ้อง โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องเรียกค่าใช้ที่ดินใหม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้โดยไม่มีข้อโต้แย้งกันว่า เมื่อปี พ.ศ. 2514 จำเลยสร้างตึกในที่ดินของจำเลยโฉนดที่ 12349 ซึ่งด้านทิศตะวันออกติดกับที่ดินโฉนดที่ 12350 ของนางสุภาพพัชรพร หรือวัช พร จำเลยกับนางสุภาพทำหนังสือตกลงกันเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2513 ก่อนจำเลยสร้างตึก ตามเอกสารหมาย ล.1 และ จ.8 ต่อมาวันที่ 26 พฤษภาคม 2518 นางสุภาพขายที่ดินโฉนดที่ 12350 ให้โจทก์กับพวก ตึกที่จำเลยสร้างได้รุกล้ำที่ดินโจทก์ตามแผนที่พิพาท คดีมีปัญหาสู่ศาลฎีกาว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเพียงใดหรือไม่

พิเคราะห์แล้ว เอกสารหมาย ล.1 ซึ่งเป็นฉบับเดียวกับเอกสารหมาย จ.8 ทำที่สำนักงานเทศบาลเมืองโพธาราม มีใจความสำคัญว่า นางสุภาพตกลงให้จำเลยทำการปลูกสร้างอาคารชิดเขตที่ดินของนางสุภาพได้โดยทำฐานราก และผนังร่วมกัน จำเลยอ้างตัวเอง นายคำรณ ทิพยกานนท์ นายช่างเทศบาลเมืองโพธารามขณะทำเอกสารหมาย ล.1 และลงชื่อเป็นพยานในเอกสารนั้น ซึ่งขณะเบิกความเป็นหัวหน้ากองช่างเทศบาลเมืองราชบุรี กับนายอุดม ตันเปาว์วิศวกรโยธา กรมโยธาธิการ เป็นพยานเบิกความประกอบเอกสารหมาย ล.1 ได้ความว่าการสร้างตึกของจำเลยด้านทิศตะวันออกซึ่งติดกับที่ดินโจทก์ สร้างชิดติดกับที่ดินโจทก์ โดยสร้างฐานรากแบบ “ตีนช้าง” ถือหลักเขตเป็นจุดกึ่งกลางแล้วขยายฐานรากออกไปทั้งสองด้าน การทำฐานรากและผนังร่วมกันนี้หมายความว่า เมื่อนางสุภาพจะสร้างตึกในภายหลังก็ไม่ต้องทำฐานรากและผนังใหม่อีก โดยใช้ร่วมกับจำเลยได้ตามข้อตกลงและแบบแปลนสร้างตึกของจำเลยได้รับอนุมัติจากกรมโยธาธิการและเทศบาลเมืองโพธารามแล้ว โจทก์ไม่มีพยานสืบหักล้าง ส่วนที่โจทก์นำสืบว่านางสุภาพบอกว่าลงชื่อให้จำเลยสร้างตึกชิดเขตได้เท่านั้น เป็นการนำสืบลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟัง พยานหลักฐานจำเลยมั่นคงยิ่งกว่าพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าจำเลยปลูกตึกของจำเลยตามข้อตกลงระหว่างจำเลยกับนางสุภาพ ดังนั้นแม้จะมีส่วนรุกล้ำอยู่บ้าง ก็ไม่เป็นการทำละเมิดต่อนางสุภาพเมื่อโจทก์รับโอนที่ดินของนางสุภาพมาในสภาพที่มีการรุกล้ำอยู่ก่อนแล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายอย่างใดจากจำเลยเกี่ยวกับการรุกล้ำนั้น”

พิพากษายืน

Share