แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับฎีกาเฉพาะข้อ 2 ส่วนฎีกาข้อ 3 เป็นการโต้แย้งเรื่องดุลพินิจของศาลจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง คดีมีราคาทรัพย์สินหรือทุนทรัพย์พิพาทไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกาข้อ 3
โจทก์เห็นว่า ฎีกาข้อ 3 เป็นกรณีพิพาทที่มีความสัมพันธ์และเกี่ยวโยงถึงฎีกาข้อ 2 ด้วย กล่าวคือ เมื่อโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษในการที่จำเลยทั้งหกได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนที่ควรคิดและคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและ เหตุอันควรถึงแม้โจทก์จะใช้ทางสาธารณประโยชน์สัญจรไปมาจาก ส่วนอื่นได้บ้างก็ตาม แต่ก็เป็นการใช้สัญจรไปมาไม่สะดวกเท่าที่ควร โดยไม่สามารถสัญจรไปมาในการเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทของโจทก์ได้เช่นปกติเหมือนก่อนมา โจทก์เห็นว่าเป็นปัญหา สำคัญและเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนราคาทรัพย์หรือทุนทรัพย์ตาม ฟ้องของโจทก์นั้นเป็นเพียงการประเมินค่าทดแทนที่โจทก์ได้รับ ความเสียหายเป็นพิเศษอันเป็นการปฏิบัติเพื่อยังความเสียหายและ ความเดือดร้อนให้สิ้นไปเท่านั้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งหกได้รับสำเนาคำร้องหรือไม่
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องในข้อหาเกี่ยวกับทางสาธารณประโยชน์ เพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิและได้รับความเสียหายเป็นพิเศษอย่างไรส่วนข้อหาเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ให้โจทก์แยกฟ้องเป็นคดีใหม่ภายใน 7 วัน ให้จำหน่ายคดีเมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 9)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 11)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามฎีกาโจทก์ข้อ 3 เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลที่มีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องเรื่องบุกรุกที่ดินของโจทก์เป็นคดีใหม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาข้อนี้ชอบแล้ว ยกคำร้อง ค่าธรรมเนียมที่เกินมา 160 บาทคืนให้โจทก์