คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3406/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ร่วมกันในที่พิพาทซึ่งมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โดยซื้อมาจากจำเลยที่ 1แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้โอนชื่อทางทะเบียนให้ ต่อมาจำเลยที่ 1ขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 2 โดยโอนชื่อทางทะเบียนโดยจำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าที่พิพาทได้โอนให้แก่โจทก์ทั้งสองแล้วทำให้โจทก์ทั้งสองเสียเปรียบ และจำเลยที่ 2 เข้าไปแย่งการครอบครองที่พิพาทขอให้ขับไล่จำเลยที่ 2 ออกไป กับให้จำเลยที่ 1 โอนชื่อทางทะเบียนแก่โจทก์ทั้งสองจำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่า จำเลยที่ 2 ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 และเข้าครอบครองที่พิพาทโดยโจทก์ทั้งสองมิได้ครอบครองที่พิพาท ดังนี้ ประเด็นในคดีนี้จึงมีว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองหรือจำเลยที่ 2 จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ แม้โจทก์ทั้งสองจะมีคำขอให้จำเลยที่ 2 เพิกถอนชื่ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ กับให้จำเลยที่ 1 โอนชื่อทางทะเบียนแก่โจทก์ทั้งสองก็เป็นผลต่อเนื่องในเรื่องที่พิพาทเป็นของใครเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าเป็นคดีมีคำขออันไม่มีทุนทรัพย์ แยกกันได้จากคำขอที่เป็นทุนทรัพย์เมื่อราคาที่พิพาทไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองครอบครองทำประโยชน์ร่วมกันในที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 586โดยซื้อมาจากจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2522 พร้อมที่ดินน.ส.3 ก. เลขที่ 376 โดยซื้อมาจากนายบุญจันทร์ ซึ่งที่ดินทั้งสองแปลงนี้เนื้อที่ติดต่อเป็นแปลงเดียวกันโจทก์ทั้งสองได้รับการส่งมอบที่ดินทั้งสองแปลงและได้ครอบครองโดยสุจริตเปิดเผยตลอดมา และเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2523 โจทก์ได้ให้จำเลยที่ 1เช่าที่ดินทั้งสองแปลงนี้ติดต่อกันมาจนกระทั่ง พ.ศ. 2525 หลังจากนั้นโจทก์ได้ให้นายจำนงค์เช่าที่ดินทั้งสองแปลงนี้ติดต่อกันมาจนถึงวันฟ้อง การซื้อขายที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 586 จำเลยที่ 1 ไม่ได้โอนชื่อทางทะเบียนให้แก่โจทก์ แต่เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2526 จำเลยที่ 1 ขายและโอนชื่อเจ้าของที่ดินทางทะเบียนให้แก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่าที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 586 ดังกล่าวจำเลยที่ 1 ได้โอนขายและส่งมอบการครอบครองให้แก่โจทก์ทั้งสองแล้วอันเป็นการทำให้โจทก์ต้องเสียเปรียบ เมื่อประมาณต้นเดือนสิงหาคม2530 จำเลยที่ 2 ได้เข้าไปรบกวนการครอบครองที่ดินโดยปกติสุขของโจทก์ทั้งสอง โดยจำเลยที่ 2 นำเสาไม้แก่นจำนวน 3 หลัก ไปปักลงในที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 586ตามแนวเขตแดนที่ติดต่อกับที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 376 โจทก์ทั้งสองจึงได้ทราบว่าจำเลยที่ 1 ได้ขายและโอนชื่อในทะเบียนให้แก่จำเลยที่ 2 แล้วและต่อมาเมื่อประมาณต้นเดือนตุลาคม 2530 จำเลยที่ 2ได้ทำการปลูกต้นกล้วยในที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 586 การกระทำของจำเลยที่ 2 ทั้งสองครั้งเป็นการแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนเพิกถอนชื่อออกจากที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่586 และให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนชื่อเจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสอง ให้ขับไล่จำเลยที่ 2 และบริวารออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าว ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ทะเบียนเลขที่ 586 เดิมเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1ได้ขายให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวจนถึงวันยื่นคำให้การเป็นเวลา 4 ปี 9 เดือนเศษแล้ว โจทก์ทั้งสองและนายจำนงค์ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง การที่จำเลยที่ 2 ครอบครองทำกินมาตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2526 จนถึงวันยื่นคำให้การ หากที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของโจทก์ทั้งสอง คดีโจทก์ก็ขาดอายุความแล้ว โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีขอเพิกถอนการฉ้อฉล แต่จำเลยที่ 2 ได้รับโอนการครอบครองที่ดินแปลงนี้มาตั้งแต่วันที่ 16มิถุนายน 2526 จนถึงวันยื่นคำให้การเป็นเวลานานถึง 4 ปี 9 เดือนเศษคดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 586 ระหว่างจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 และให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษาภายในกำหนด 30 วัน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ให้ขับไล่จำเลยที่ 2 และบริวารออกจากที่ดินแปลงดังกล่าว ห้ามจำเลยที่ 2 และบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงดังกล่าวต่อไป
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ 2 ถึงแก่กรรม โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นสามีโจทก์ที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองครอบครองทำประโยชน์ร่วมกันในที่ดินพิพาทซึ่งมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 586 โดยซื้อมาจากจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1ไม่ได้โอนชื่อทางทะเบียนให้จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่า จำเลยที่ 2ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 และเข้าครอบครองทำประโยชน์แล้ว ดังนี้ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนี้จึงมีว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองหรือเป็นของจำเลยที่ 2 จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ แม้โจทก์ทั้งสองจะมีคำขอให้จำเลยที่ 2 เพิกถอนชื่อออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ กับให้จำเลยที่ 1 โอนชื่อทางทะเบียนให้แก่โจทก์ทั้งสองก็เป็นผลต่อเนื่องในเรื่องที่ดินพิพาทเป็นของใครเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าเป็นคดีมีคำขออันไม่มีทุนทรัพย์แยกกันได้จากคำขอที่เป็นทุนทรัพย์ ทางนำสืบของโจทก์และจำเลยที่ 2 ปรากฏว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทรวมกับที่ดินแปลงอื่นอีก 1 แปลง ในราคา 60,000 บาทคดีนี้จึงมีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขแล้วศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2526 โจทก์ทั้งสองมิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนดหนึ่งปี จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องที่ดินพิพาทคืนที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่าพยานหลักฐานรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เข้าแย่งการครอบครองเมื่อเดือนสิงหาคม 2530 โจทก์ทั้งสองจึงฟ้องคดีนี้ภายในกำหนดหนึ่งปีแล้ว ยังไม่ขาดอายุความนั้น เป็นการฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
พิพากษายกฎีกาโจทก์ทั้งสอง

Share