คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6777/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารกับให้ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 1 ก่อนคดีถึงที่สุดโจทก์ที่ 1 กับจำเลยทำสัญญาระงับข้อพิพาทระหว่างกันทั้งหมดโดยไม่ติดใจบังคับคดีต่อมาโจทก์ที่ 1 นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลย เพื่อนำออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาจำเลยยื่นฟ้องและศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า โจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาระงับข้อพิพาทและให้โจทก์ที่ 1 ชำระเงินแก่จำเลย แสดงว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญา แต่โจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่อาจบังคับคดีตามคำพิพากษาได้ เมื่อการนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์เป็นการกระทำของผู้แทนโจทก์ที่ 1 โดยยืนยันว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยจริงหากเกิดความเสียหายผู้แทนโจทก์ที่ 1 ยินยอมรับผิดชอบเอง เมื่อศาลไม่อนุญาตให้บังคับคดีอีกต่อไป โจทก์ที่ 1 ต้องเสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขาย

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกโจทก์ในสำนวนแรกและจำเลยที่ 1 ในสำนวนหลังว่า โจทก์ที่ 1เรียกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในสำนวนหลังว่า โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับกับให้เรียกจำเลยในสำนวนแรกและโจทก์ในสำนวนหลังว่า จำเลย

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากตึกแถวห้องเลขที่ 411 และ 412 ตามฟ้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 1 เดือนละ 16,000 บาท นับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2525 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยกับบริวารจะออกไปจากตึกแถวดังกล่าวให้ยกฟ้องสำนวนหลังศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน60,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 1สิงหาคม 2525 จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ30,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยกับบริวารจะออกจากตึกแถวพิพาท ถ้าจำเลยผิดนัดก็ให้คิดดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันไปทุกเดือนที่ผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ก่อนคดีถึงที่สุด โจทก์ที่ 1 กับจำเลยได้ทำสัญญาตกลงระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยทั้งหมดโดยไม่ติดใจบังคับคดีที่ทั้งสองฝ่ายฟ้องร้องกันรวมทั้งกรณีพิพาทในคดีนี้ด้วย หลังจากนั้นจำเลยถอนฎีกาที่ได้ยื่นไว้ต่อศาลตามข้อตกลง ส่วนโจทก์ไม่ได้ถอนฎีกาในคดีนี้

วันที่ 1 เมษายน 2534 โจทก์ที่ 1 นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 14296 แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลย เพื่อนำออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา ดังนั้น จำเลยจึงได้ยื่นฟ้องโจทก์ที่ 1ต่อศาลชั้นต้นโดยอ้างว่า โจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาตกลงระงับข้อพิพาทและเรียกค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยไว้ชั่วคราว ต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า โจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาตกลงระงับข้อพิพาทและให้โจทก์ที่ 1 ชำระเงินจำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7051/2540

วันที่ 27 มีนาคม 2541 โจทก์ที่ 1 ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่โจทก์ที่ 1 ได้นำยึดไว้ ต่อมาวันที่ 1 เมษายน 2541 จำเลยยื่นคำร้องขอให้ถอนการบังคับคดีอ้างว่าโจทก์ที่ 1 ไม่มีสิทธิบังคับคดีตามสัญญาตกลงระงับข้อพิพาท วันที่ 30 มิถุนายน 2541 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการยึดทรัพย์ ให้โจทก์ที่ 1 เสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขาย

โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขอของจำเลย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่ากรณีมีเหตุสมควรที่จะถอนการบังคับคดีตามคำร้องของจำเลยได้หรือไม่จำเลยฎีกาว่า เมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า โจทก์ที่ 1 ผิดสัญญาตกลงระงับข้อพิพาทตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 1 และ 2 แล้ว จำเลยจึงไม่มีหนี้สินหรือภาระความผูกพันอื่นใดต่อโจทก์ที่ 1 อีกต่อไป การที่โจทก์ที่ 1 ไม่ยอมถอนการบังคับคดีและยังดำเนินการบังคับคดีจำเลยในคดีนี้จึงไม่ชอบ ศาลในคดีนี้ย่อมบังคับให้โจทก์ที่ 1 ถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยที่นำยึดโดยไม่ชอบได้ เห็นว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7051/2540 ตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 2 นั้น สืบเนื่องมาจากสัญญาตกลงระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 1 อันเป็นการทำสัญญาตกลงระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยทั้งหมด รวมทั้งข้อพิพาทในคดีนี้ด้วย จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่ใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 โดยมีผลทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงว่าเป็นของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 เมื่อจำเลยปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวแล้ว โจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาจนถูกจำเลยยื่นฟ้องว่าผิดสัญญาตกลงระงับข้อพิพาท ซึ่งในคดีดังกล่าวได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7051/2540 ให้โจทก์ที่ 1 แพ้คดีและชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย แสดงว่าจำเลยเป็นฝ่ายที่ปฏิบัติตามสัญญาแล้วแต่โจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญา ข้อตกลงตามสัญญาตกลงระงับข้อพิพาทเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 1 นั้น หากจำเลยปฏิบัติตามสัญญาแล้วมีผลผูกมัดโจทก์ที่ 1 ว่าไม่ประสงค์จะบังคับคดีจำเลยอีกต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาแต่โจทก์ที่ 1 กลับเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงไม่อาจบังคับคดีตามคำพิพากษาที่โจทก์ที่ 1 สละแล้วได้อีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำร้องของจำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า โจทก์ที่ 1 ต้องรับผิดในค่าธรรมเนียม เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยไม่มีการขายหรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์ที่ 1 นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จึงเป็นการกระทำของโจทก์ที่ 1 ไม่เกี่ยวกับจำเลย อีกทั้งตามรายงานการยึดก็ปรากฏว่าผู้แทนโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ชี้นำยึดโดยยืนยันว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยจริง หากเกิดความเสียหายผู้แทนโจทก์ที่ 1ยินยอมรับผิดชอบเองทั้งสิ้น ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าศาลไม่อนุญาตให้บังคับคดีตามคำพิพากษาได้อีกต่อไป โจทก์ที่ 1 จึงมีหน้าที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 149 และตาราง 5 ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง”

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 30มิถุนายน 2541

Share