แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้ อ. ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์จะช่วยเหลือโจทก์โดยค้ำประกันหนี้ของโจทก์ แต่เป็นหน้าที่ของหุ้นส่วนผู้จัดการที่ต้องระมัดระวังจัดการงานให้กิจการห้างหุ้นส่วนดำเนินไปด้วยดีและต้องเป็นผู้เสียสละด้วย การค้ำประกันดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของหุ้นส่วนผู้จัดการ การที่โจทก์ตอบแทน อ. ด้วยการกู้ยืมเงินจากผู้อื่นหรือเอาเงินของโจทก์ที่มีอยู่ให้ อ. กู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยในอัตราต่ำมากเพียงร้อยละ 1.5 และ 1.25 ต่อปี ในขณะที่โจทก์ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงกว่าให้แก่เจ้าหนี้นั้น จึงเป็นกรณีไม่มีเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินดอกเบี้ยตามราคาตลาดในวันกู้ยืมได้ ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์สำหรับระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2528 และ 2529โดยไม่ถูกต้อง อ้างว่าโจทก์มีกำไรสุทธิมากกว่าที่โจทก์ยื่นแบบซึ่งความจริงโจทก์ได้แสดงกำไรสุทธิเพื่อสุทธิเพื่อเสียภาษีไว้ถูกต้องแล้ว นายอุดม สินไชย หุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ได้เป็นผู้ค้ำประกันโจทก์ในการกู้เบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารเพื่อนำมาใช้ในกิจการ สมควรจะได้รับสิทธิพิเศษในการกู้เงินจากโจทก์โดยเสียดอกเบี้ยในอัตราต่ำ ซึ่งถือว่ามีเหตุอันสมควร โจทก์ได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการดังกล่าวให้ยกอุทธรณ์โจทก์ ซึ่งโจทก์เห็นว่าคำวินิจฉัยไม่ชอบ ขอให้พิพากษาเพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จำเลยให้การว่า ในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2528 และ 2529โจทก์ได้กู้เงินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารแล้วโจทก์ได้นำเงินดังกล่าวส่วนหนึ่งกับเงินของโจทก์อีกส่วนหนึ่งให้นายอุดมหุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์กู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยต่ำเจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าโจทก์คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำโดยไม่มีเหตุอันสมควร จึงได้คำนวณดอกเบี้ยตามอัตราของธนาคารพาณิชย์แล้วปรับปรุงบัญชีใหม่ ทำให้โจทก์มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น โจทก์จึงต้องเสียภาษีเพิ่มพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม การประเมินของเจ้าพนักงานและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายยแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์มีว่าโจท์ให้นายอุดมหุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์กู้ยืมเงินในปี พ.ศ. 2528 และ 2529 โดยคอดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1.5 และ 1.25ต่อปี ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่มีหตุอันสมควรหรือไม่เห็นว่า ในการคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิ มาตรา 65 ทวิ (4)แห่งประมวลรัษฎากร ได้กำหนดเงื่อนไขในกรณีให้กู้ยืมเงินโดยไม่มีดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันสมควรว่าเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินดอกเบี้ยนั้นตามราคาตลาดในวันที่ให้กู้ยืมเงิน ข้ออ้างตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่านายอุมดมเป็นผู้เสียสละเข้าเป็นผู้ค้ำประกันโจทก์ตั้งแต่โจทก์เริ่มดำเนินกิจการ โดยไม่เคยได้รับประโยชน์สำหรับการค้ำประกันเลย จึงเป็นหน้าที่ในทางคุณธรรมที่โจทก์ให้นายอุดม หุ้นส่วนผู้จัดการกู้ยืมเงินโดยคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าราคาตลาด ย่อมเป็นสิ่งที่พึงกระทำและมีเหตุอันสมควร ข้ออ้างดังกล่าวอาจเป็นเหตุที่โจทก์เห็นว่าสมควรแต่เหตุอันสมควรตาม มาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากรไม่ได้กำหนดไว้ จึงต้องพิจารณาเหตุอื่นที่ปรากฏในคดีประกอบด้วยปรากฏว่านายอุดมเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ มีหน้าที่ต้องจัดการงานของหุ้นส่วนด้วยความระมัดระวังให้มากเสมือนกับจัดการงานของตนเอง และไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จในการจัดการงานของห้างหุ้นส่วนเว้นแต่จะตกลงกันเป็นอย่างอื่น จึงเห็นได้ว่าเป็นหน้าที่ของหุ้นส่วนผู้จัดการที่ต้องระมัดระวังจัดการงานให้กิจการห้างหุ้นส่วนดำเนินไปด้วยดี และต้องเป็นผู้เสียสละอีกด้วยในการที่หุ้นส่วนผู้จัดการได้ค้ำประกันหนี้ของห้างหุ้นส่วนเพื่อจะได้เงินมาดำเนินกิจการของห้างหุ้นส่วน เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของหุ้นส่วนผู้จัดการซึ่งในการปฏิบัติหน้าที่ของนายอุดมหุ้นส่วยผู้จัดการเช่นนี้แม้จะเห็นว่าเป็นผู้ช่วยเหลือโจทก์ แต่โจทก์จะตอบแทนด้วยการกู้ยืมเงินจากผู้อื่นหรือเอาเงินของโจทก์ที่มีอยู่ให้หุ้นส่วนผู้จัดการกู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยในอัตราต่ำมาก ในขณะที่โจทก์ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงกว่าให้แก่เจ้าหนี้จึงเป็นกรณีที่ไม่มีเหตุอันสมควรเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินดอกเบี้ยตามราคาตลาดในวันกู้ยืมเงินได้ ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.