แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความเสียหายอันเนื่องมาจากการที่โจทก์ต้องจ้างบริษัทอื่นมาดำเนินการต่อและต้องเสียค่าจ้างเพิ่มขึ้นมีจำนวนมากกว่าค่าปรับที่เป็นค่าเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เมื่อโจทก์เจ้าหนี้ได้รับค่าเสียหายเต็มตามความเสียหายก็เท่ากับรวมเอาเบี้ยปรับในฐานะเป็นค่าเสียหายที่เป็นจำนวนน้อยที่สุดไว้ด้วยแล้วจึงไม่มีเหตุที่โจทก์จะเรียกเอาค่าปรับได้อีก หากจะกำหนดค่าปรับให้แก่โจทก์อีกจะเป็นการให้ค่าเสียหายซ้ำซ้อนกัน และตามสัญญาข้อ 5 วรรคสุดท้าย กำหนดไว้ว่า “ผู้ว่าจ้างทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะเรียกร้องให้ผู้รับจ้างชดใช้แต่ค่าปรับอย่างเดียวหรือค่าเสียหาย และริบสัมภาระอุปกรณ์การก่อสร้างดังกล่าว ใน ข.ค.ด้วยหรือไม่ก็ได้…” จากข้อสัญญาดังกล่าวจะเห็นว่า ข้อสัญญาได้ใช้คำว่าเรียกค่าปรับหรือค่าเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น โดยผู้ว่าจ้างเป็นผู้เลือก เมื่อศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยชำระค่าเสียหายอันเป็นจำนวนเงินมากกว่าค่าปรับแก่โจทก์ โดยให้นำค่าปรับที่จำเลยที่ 1 ได้ชำระให้โจทก์ไว้แล้วมาหักออกก่อนจึงเป็นการชอบด้วยข้อกฎหมายและข้อสัญญาดังกล่าวแล้ว
ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน1,278,057.68 บาท แทนที่จะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสิ้น 1,279,057.68 บาท เป็นเพราะศาลอุทธรณ์เขียนจำนวนค่าจ้างส่วนที่เพิ่มขึ้นจากสัญญาเดิมผิดพลาดไปจากจำนวนที่ถูกต้อง คือ จำนวน 973,587.45 บาทเป็นจำนวน 972,587.45 บาท จึงทำให้คำนวณค่าเสียหายเมื่อหักเงินค่าปรับจำนวน 258,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 ชำระให้โจทก์ออกแล้วผิดพลาดขาดจำนวนไป 1,000 บาท อันเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องตาม ป.วิ.พ.มาตรา 143
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ว่าจ้างจำเลยที่ ๑ ทำการบูรณะราดยางทางหลวงจังหวัด ๒ สัญญา สัญญาฉบับแรกให้ทำการบูรณะราดยางทางหลวงจังหวัดหมายเลข ๒๑๒๗ สายขุนหาญ – สำโรงเกียรติ ระยะทางยาว ๔.๗๐๐ กิโลเมตรที่อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ในราคา ๓,๗๙๑,๗๐๐ บาท สัญญาฉบับหลังให้ทำการบูรณะราดยางทางหลวงจังหวัดหมายเลข ๒๑๑๑ สายสี่แยกบ้านพยุห์ -อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ระยะทางยาว ๔.๓๐๐ กิโลเมตร ในราคา๓,๐๓๔,๕๒๐ บาท ในการรับจ้างดังกล่าว จำเลยที่ ๑ ได้นำหนังสือค้ำประกันของจำเลยที่ ๒ มาวางไว้แก่โจทก์ ตามสัญญาฉบับแรกจำเลยที่ ๑ ต้องลงมือทำการก่อสร้างตั้งแต่วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๒๒ ครบกำหนดแล้วเสร็จในวันที่ ๘ตุลาคม ๒๕๒๒ สัญญาฉบับหลังจำเลยที่ ๑ จะต้องลงมือทำการก่อสร้างตั้งแต่วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๒๒ แล้วเสร็จในวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๒๒ นับตั้งแต่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญารับจ้างกับโจทก์ จำเลยที่ ๑ ทำงานไม่แล้วเสร็จ กล่าวคือ ตามสัญญาฉบับแรกจำเลยที่ ๑ ทำงานได้ผลงานเพียง ๓๑.๔๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วหยุดงานไป สัญญาฉบับหลังได้ผลงานเพียง ๑.๓ เปอร์เซ็นต์ แล้วก็หยุดงานไปเช่นเดียวกัน โจทก์ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว ตามสัญญาที่ทำต่อกันกำหนดไว้ว่า หากจำเลยที่ ๑ มิได้ลงมือทำงานภายในกำหนดก็ดี หรือในการทำงานมีเหตุให้โจทก์เห็นว่าจำเลยที่ ๑จะทำงานไม่แล้วเสร็จบริบูรณ์ภายในกำหนดก็ดีหรือล่วงกำหนดเวลาแล้วเสร็จบริบูรณ์ก็ดี หรือจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่งก็ดี โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้และการที่โจทก์ให้จำเลยที่ ๑ ทำการล่วงกำหนดเวลาไปนั้น ไม่ได้หมายความว่าโจทก์ผ่อนเวลาให้จำเลยที่ ๑ อันจะไม่ต้องรับผิดตามสัญญา ในกรณีมีการผิดสัญญาจะเป็นเรื่องที่โจทก์บอกเลิกสัญญาหรือจำเลยที่ ๑ ทำการล่วงเลยกำหนดเวลาจำเลยที่ ๑ ยอมรับผิดชำระค่าปรับวันละ ๑,๕๐๐ บาท จนกว่างานจะแล้วเสร็จโดยการกระทำของตนเองหรือการกระทำของผู้รับจ้างคนใหม่ โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายที่ต้องเสียไปเนื่องจากจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาทั้งผลโดยตรงและเกี่ยวเนื่องจากเหตุที่จำเลยที่ ๑ ผิดสัญญา และบรรดาสิ่งก่อสร้าง สัมภาระอุปกรณ์ในการก่อสร้างของจำเลยที่ ๑ ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อบอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์มีสิทธิตามสัญญาข้อ ๖ ที่จะว่าจ้างผู้อื่นให้ทำงานต่อไปจนแล้วเสร็จ โดยอาศัยจำนวนเงินที่ยังเหลือจ่ายแก่จำเลยที่ ๑ หากเงินค่าจ้างเหลือจ่ายไม่พอจ้างผู้อื่นทำงานต่อจนเสร็จบริบูรณ์ตามสัญญาแล้ว เงินค่าจ้างที่เกินกว่าจำนวนเงินค่าจ้างของจำเลยที่ ๑ ที่เหลือ จำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดต่อโจทก์ แต่ถ้างานแล้วเสร็จมีเงินค่าจ้างตามสัญญาที่หักจ่ายค่าปรับและค่าเสียหายแล้วยังเหลืออยู่เท่าใด โจทก์จะจ่ายให้จำเลยที่ ๑ ทั้งหมด เมื่อสิ้นสุดกำหนดเวลาตามสัญญาฉบับแรก โจทก์ได้จ่ายค่างานให้จำเลยที่ ๑ ไปจำนวน ๑,๓๒๒,๙๔๘.๑๖บาท คงเหลือเงินค่างาน ๒,๓๗๙,๕๑๐.๗๘ บาท โจทก์ได้ว่าจ้างบริษัทวนิชชัยก่อสร้าง (๑๙๗๙) จำกัด ทำงานต่อจนแล้วเสร็จ โจทก์ต้องจ่ายเงินค่างานในราคาต่อหน่วยที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นเงิน ๙๗๓,๕๘๗.๔๕ บาท จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิด นอกจากนี้โจทก์ยังมีสิทธิริบเงินประกันสัญญาจำนวน ๑๘๙,๕๘๕ บาทค่าปรับรายวัน วันละ ๑,๕๐๐ บาท นับแต่วันผิดสัญญาถึงวันบอกเลิกสัญญารวม๔๐๔ วัน เป็นเงิน ๖๐๖,๐๐๐ บาท เมื่อหักกลบลบหนี้ที่จำเลยที่ ๑ มีต่อโจทก์แล้วจำเลยทั้งสองจะต้องชำระให้โจทก์ตามสัญญาฉบับแรกจำนวน ๑,๒๙๖,๑๗๗.๒๖บาท และเมื่อสิ้นสุดกำหนดเวลาตามสัญญาฉบับหลัง จำเลยที่ ๑ ทำงานได้ผลงานเพียง ๑.๓ เปอร์เซ็นต์ โจทก์จึงได้ว่าจ้างบริษัทสระหลวงก่อสร้าง จำกัดทำงานต่อจนเสร็จบริบูรณ์ โจทก์ต้องจ่ายค่างานในราคาต่อหน่วยสูงขึ้นเป็นเงิน๕๖๓,๔๗๐.๒๓ บาท จำเลยทั้งสองต้องรับผิด นอกจากนี้โจทก์ยังมีสิทธิริบเงินประกันสัญญาจำนวน ๑๕๑,๗๒๖ บาท ค่าปรับรายวันวันละ ๑,๕๐๐ บาท นับแต่วันผิดสัญญาถึงวันบอกเลิกสัญญารวม ๔๐๕ วัน เป็นเงิน ๖๐๗,๕๐๐ บาท เมื่อหักกลบลบหนี้ที่จำเลยที่ ๑ มีต่อโจทก์แล้วจำเลยทั้งสองต้องชำระให้โจทก์ตามสัญญาฉบับหลัง เป็นเงิน ๑,๓๒๒,๖๙๖.๒๓ บาท รวมหนี้สินทั้งสองสัญญาจำเลยทั้งสองต้องร่วมกันชดใช้แก่โจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๖๑๘,๘๗๓.๔๙ บาท โดยมีส่วนที่จำเลยที่ ๒ จะต้องร่วมรับผิดจำนวน ๓๔๑,๓๑๑ บาท การที่จำเลยที่ ๑ไม่ยอมชำระหนี้จำนวนดังกล่าวเมื่อพ้นกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ ๑ได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้คือนับแต่วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ ถึงวันฟ้องโจทก์ขอคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี เป็นดอกเบี้ยจำนวน ๓๑๗,๙๐๙.๗๕บาท รวมเป็นเงินที่จะต้องชำระแก่โจทก์จำนวน ๒,๕๙๕,๔๗๒.๒๐ บาท จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันคำนวณถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ยจำนวน ๔๙,๒๐๕.๖๖ บาท รวมกับต้นเงินเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๓๙๐,๕๖๖.๑๖ บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๒,๙๘๕,๙๘๘.๘๐ บาทโดยให้จำเลยที่ ๒ รับผิดเพียงจำนวน ๓๙๐,๕๑๖.๖๖ บาท แก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๒,๖๑๘,๘๗๓.๔๙บาท เฉพาะจำเลยที่ ๒ ในต้นเงิน ๓๔๑,๓๑๑ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ตามสัญญาฉบับแรกเมื่อมีการผิดสัญญาตั้งแต่วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๒๒ แต่โจทก์บอกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๓นับว่าเป็นเวลาเนิ่นนานเกินควร มีเจตนาให้จำเลยที่ ๑ ได้รับความเสียหายสูงเกินเหตุ เป็นการกระทำโดยไม่สุจริต การที่โจทก์ไปว่าจ้างบริษัทวนิชชัยก่อสร้าง (๑๙๗๙) จำกัด มาดำเนินการต่อ ก็เป็นการให้ค่าจ้างที่สูงเกินส่วนทั้ง ๆ ที่มีเนื้องานเหลืออยู่เพียง ๖๘.๖๐ เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น ดังนั้น จำนวนเงินส่วนที่เพิ่มจากสัญญาเดิม ๙๗๓,๕๘๗.๔๕ บาท จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดนอกจากนี้ค่าปรับรายวัน วันละ ๑,๕๐๐ บาท ก็สูงเกินไปเพราะจำเลยที่ ๑เคยชำระค่าปรับให้โจทก์ไปบ้างแล้วจำนวนถึง ๒๕๘,๐๐๐ บาท ซึ่งน่าจะเพียงพอดังนั้น ส่วนที่เกินจากนี้จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดอีก และตามสัญญาฉบับหลังก็เช่นเดียวกัน โจทก์เรียกค่าปรับรายวันจากจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๖๐๗,๕๐๐บาท แล้ว โจทก์จะเรียกเอาค่าจ้างที่เพิ่มสูงจากสัญญาเดิมอีก ๕๖๓,๔๗๐.๒๓บาท อีกหาชอบไม่ ดังที่จำเลยที่ ๑ ได้กล่าวมาแล้ว โจทก์บอกเลิกสัญญาเนิ่นช้าเกินควรเป็นเหตุให้ค่าจ้างสูงขึ้น โจทก์มีเจตนากลั่นแกล้งจำเลยที่ ๑ ให้ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งนี้เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิยึดหน่วงค่าจ้างไว้ได้ แต่โจทก์กลับจ่ายค่าจ้างให้จำเลยที่ ๑ ไปเป็นเงิน ๑,๓๒๒,๙๔๘.๑๖ บาท เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๒ ไม่อาจรับช่วงได้ จำเลยที่ ๒ จึงพ้นความรับผิด โจทก์ไม่อาจเรียกเงินประกันจากจำเลยที่ ๒ ได้อีก การที่โจทก์ไปว่าจ้างบริษัทวนิชชัยก่อสร้าง(๑๙๗๙) จำกัด และบริษัทสระหลวงก่อสร้าง จำกัด มาดำเนินการต่อ ก็ว่าจ้างในราคาสูงเกินเหตุ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน๒,๑๗๓,๐๖๒.๔๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ จนว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จากยอดเงินจำนวน๒,๑๗๓,๐๖๒.๔๙ บาท นี้ ให้จำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันร่วมรับผิดชำระในวงเงินที่ประกัน ๓๔๑,๓๑๑ บาท โดยโจทก์ไม่ต้องเรียกให้จำเลยที่ ๑ ชำระก่อนพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๐จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ โดยจำเลยที่ ๑ ได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน ๑,๒๗๘,๐๕๗.๖๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฏหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงข้อเดียวว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับอีกนอกเหนือจากค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้หรือไม่ ปัญหานี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ รับจ้างโจทก์ทำการบูรณะราดยางทางหลวงจังหวัด ๒ สัญญา ตามสัญญาจ้างเอกสารหมายจ.๑๐ และ จ.๑๒ จำเลยที่ ๑ ทำงานตามที่รับจ้างไม่แล้วเสร็จ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาทั้งสองฉบับแล้วเรียกให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าปรับและค่าเสียหายอันเนื่องมาจากจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ โดยตามสัญญาฉบับแรกเบี้ยปรับคิดเป็นรายวันนับแต่วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๒๒ ถึงวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ จำนวน๔๐๓ วัน วันละ ๑,๕๐๐ บาท เป็นเงิน ๖๐๔,๕๐๐ บาท และค่าจ้างส่วนที่เพิ่มขึ้นจากสัญญาเดิมเป็นเงิน ๙๗๓,๕๘๗.๔๕ บาท ส่วนสัญญาฉบับหลังเบี้ยปรับคิดเป็นรายวันนับแต่วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๒๒ ถึงวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ รวม๓๔๓ วัน วันละ ๑,๕๐๐ บาท เป็นเงิน ๕๐๔,๕๐๐ บาท และค่าจ้างส่วนที่เพิ่มขึ้นจากสัญญาเดิมเป็นเงิน ๕๖๓,๔๗๐.๒๓ บาท เมื่อรวมเบี้ยปรับและค่าเสียหายอันเกิดจากค่าจ้างส่วนที่เพิ่มขึ้นของสัญญาทั้งสองฉบับแล้ว จะเป็นเงินเบี้ยปรับรวม ๑,๑๐๙,๐๐๐ บาท และเป็นค่าเสียหายเกี่ยวกับค่าจ้างส่วนที่เพิ่มขึ้นจากสัญญาเดิมรวม ๑,๕๓๗,๐๕๗.๖๘ บาท จำเลยที่ ๑ ได้ชำระเงินเป็นค่าเบี้ยปรับแก่โจทก์แล้วเป็นเงิน ๒๕๘,๐๐๐ บาท เมื่อหักเงินจำนวน๒๕๘,๐๐๐ บาท ที่จำเลยที่ ๑ ชำระให้แก่โจทก์ออกแล้ว จำเลยที่ ๑คงต้องชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสิ้น ๑,๒๗๙,๐๕๗.๖๘ บาท ซึ่งศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเสียหายส่วนที่มากกว่าเบี้ยปรับแก่โจทก์เพียงสถานเดียว เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๐ วรรคสองบัญญัติว่า “ถ้าเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้จะเรียกเอาเบี้ยปรับอันจะพึงริบนั้นในฐานเป็นจำนวนน้อยที่สุดแห่งค่าเสียหายก็ได้ การพิสูจน์ค่าเสียหายยิ่งกว่านั้นท่านก็อนุญาตให้พิสูจน์ได้” เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้ว่า ความเสียหายอันเนื่องมาจากการที่โจทก์ต้องจ้างบริษัทอื่นมาดำเนินการต่อและต้องเสียค่าจ้างเพิ่มขึ้นมีจำนวนมากกว่าค่าปรับที่เป็นค่าเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เมื่อโจทก์เจ้าหนี้ได้รับค่าเสียหายเต็มตามความเสียหายก็เท่ากับรวมเอาเบี้ยปรับในฐานะเป็นค่าเสียหายที่เป็นจำนวนน้อยที่สุดไว้ด้วยแล้วจึงไม่มีเหตุที่โจทก์จะเรียกเอาค่าปรับได้อีก หากจะกำหนดค่าปรับให้แก่โจทก์อีกจะเป็นการให้ค่าเสียหายซ้ำซ้อนกัน และตามสัญญาข้อ ๕ วรรคสุดท้าย กำหนดไว้ว่า”ผู้ว่าจ้างทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะเรียกร้องให้ผู้รับจ้างชดใช้แต่ค่าปรับอย่างเดียวหรือค่าเสียหาย และริบสัมภาระอุปกรณ์การก่อสร้างดังกล่าว ใน ข.ค.ด้วยหรือไม่ก็ได้…” จากข้อสัญญาดังกล่าวจะเห็นว่าข้อสัญญาได้ใช้คำว่า เรียกค่าปรับหรือค่าเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น โดยผู้ว่าจ้างเป็นผู้เลือก เมื่อศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยชำระค่าเสียหายอันเป็นจำนวนเงินมากกว่าค่าปรับแก่โจทก์โดยให้นำค่าปรับที่จำเลยที่ ๑ ได้ชำระให้โจทก์ไว้แล้วมาหักออกก่อน จึงเป็นการชอบด้วยข้อกฎหมายและข้อสัญญาดังกล่าวแล้ว
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน๑,๒๗๘,๐๕๗.๖๘ บาท แทนที่จะพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสิ้น ๑,๒๗๙,๐๕๗.๖๘ บาท ดังที่ได้วินิจฉัยข้างต้นนั้น ปรากฏตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าเป็นเพราะศาลอุทธรณ์เขียนจำนวนค่าจ้างส่วนที่เพิ่มขึ้นจากสัญญาเดิมผิดพลาดไปจากจำนวนที่ถูกต้อง คือ จำนวน ๙๗๓,๕๘๗.๔๕ บาท เป็นจำนวน๙๗๒,๕๘๗.๔๕ บาท จึงทำให้คำนวณค่าเสียหายเมื่อหักเงินค่าปรับจำนวน๒๕๘,๐๐๐ บาท ที่จำเลยที่ ๑ ชำระให้โจทก์ออกแล้วผิดพลาดขาดจำนวนไป๑,๐๐๐ บาท อันเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๓
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน๑,๒๗๙,๐๕๗.๖๘ บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.