คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1756/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะจำเลยกับพวกและผู้ตายกับพวกดูภาพยนตร์ในงานศพผู้ตายกับพวกใช้ขวดสุราขว้างปาจอภาพยนตร์และล้มจอระหว่างผู้ตายกับพวกเดินกลับบ้านได้ร่วมกันทำร้ายน้องชายจำเลยจนตกลงในคูน้ำเมื่อมาพบจำเลยกับเด็กเดินสวนทางมาก็ได้ร่วมกันทำร้ายจำเลยฝ่ายเดียวจนตกลงไปในคูน้ำจำเลยวิ่งกลับบ้านซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ300เมตรเอามีดมาต่อสู้กับพวกผู้ตายแม้ไม่ได้กระทำลงทันทีหรือณที่ซึ่งถูกข่มเหงแต่อยู่ในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดกันถือว่าจำเลยกระทำผิดด้วยเหตุบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมและแม้จำเลยมิได้ยกเรื่องนี้ขึ้นต่อสู้ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83ริบ อาวุธ มีดปลายแหลม ของกลาง
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง ยก คำขอ ให้ริบ ของกลาง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 และ 83 จำคุก จำเลย 20 ปี คำขอ ให้ริบ ของกลาง ให้ยก
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว ข้อเท็จจริง ที่ โจทก์ จำเลยมิได้ โต้แย้ง กัน ฟังได้ ยุติ ว่า คืน เกิดเหตุ ผู้ตาย กับพวก และ จำเลยกับพวก ต่าง พา กัน ไป ดู ภาพยนตร์ ใน งาน ศพ ที่ วัด บางประทุนนอก ระหว่าง ดู ภาพยนตร์ นั้น ผู้ตาย กับพวก หลาย คน ได้ ตั้ง วง ดื่ม สุรา และ ใช้ ขวด สุราขว้าง จอภาพยนตร์และ ช่วย กัน ล้ม จอ แล้ว วิ่งหนี ไป ทาง สะพาน ข้าม คลองเพื่อ กลับ บ้าน ระหว่าง ทาง นาย ศักดาหรือโหน่ง สุวรรณวัฒน์ กับ นาย แก่ พวก ของ ผู้ตาย ได้ ร่วมกัน ชกต่อย ชาย 2 คน จน ตกลง ไป ใน คลอง ข้างทาง เมื่อ ขึ้น จาก คลอง ได้ ชาย 2 คน นั้น ได้ วิ่งหนี ไปผู้ตาย กับพวก พา กัน เดิน ต่อไป ได้ ประมาณ 300 เมตร ถึง ปากซอย ขันทอง พบ ชาย 2 คน ที่ ถูก นาย ศักดาหรือโหน่งกับนายแก่ ชกต่อย กับพวก อีก 1 คน ถือ มีด คน ละ เล่ม และ พวก คนหนึ่ง ถือ ไม้ ด้วย ดัก รอ อยู่แล้ว ต่าง ก็ เข้า ต่อสู้ กัน ผู้ตาย ถูก แทง ตาย ใน ที่เกิดเหตุ ปัญหา ที่ต้อง วินิจฉัย ตาม ฎีกา ของ จำเลย มี ว่า จำเลย ได้ ร่วม กับพวก เข้า ต่อสู้กับ ผู้ตาย กับพวก และ แทง ผู้ตาย จน ถึงแก่ความตาย จริง หรือไม่ โจทก์ มีนาย อุเทน จำปาเงิน นายศักดิ์ดาหรือเชิด เพียรประเสริฐกุล และ นาย ศักดาหรือโหน่ง สุวรรณวัฒน์ เป็น ประจักษ์พยาน เบิกความ ว่า ชาย 2 คน ที่ ถูก นาย ศักดาหรือโหน่งกับนายแก่ ชกต่อย จน ตกลง ไป ใน คลอง นั้น เป็น จำเลย คนหนึ่ง อีก คนหนึ่ง ไม่รู้ จัก ส่วน ชาย 3 คน ที่มา ดัก รอที่ ปากซอย ขันทอง แล้ว เข้า ต่อย กับ ผู้ตาย กับพวก นั้น คือ จำเลย กับ ชาย ที่ ถูก นาย ศักดาหรือโหน่งกับนายแก่ ชกต่อย ส่วน พวก จำเลย อีก คนหนึ่ง ไม่รู้ จัก แต่ จำ หน้า ได้ จำเลย กับพวก ที่ ถูก ชกต่อย ถือ มีดปลายแหลมคน ละ เล่ม ส่วน พวก อีก คนหนึ่ง ถือ มีดปลายแหลม และ ไม้ เมื่อ เห็น ดังนั้นนาย อุเทน ได้ ส่ง มีด ให้ ผู้ตาย และ หยิบ ไม้ ข้างทาง มา ถือ ไว้ ผู้ตาย ได้ เดิน นำ หน้า เข้า ต่อสู้ กับ ฝ่าย จำเลย นาย อุเทน กับพวก เดิน ตาม เข้า ไป นาย ศักดิ์ดาหรือเชิด นาย ศักดาหรือโหน่ง และนายแก่ เข้า ต่อสู้ กับพวก ของ จำเลย 2 คน ส่วน ผู้ตาย กับ นาย อุเทน เข้า ต่อสู้ กับ จำเลย จำเลย ใช้ มีดปลายแหลม แทง ที่ หลัง ผู้ตาย 1 ครั้ง ผู้ตายใช้ มีด ฟัน ไป ที่ จำเลย และ นาย อุเทน ใช้ ไม้ ตี ที่ ศีรษะ จำเลย จำเลย วิ่งหนี ไป ผู้ตาย ร้อง บอก ว่า ถูก แทง แล้ว ล้ม ลง นาย ศักดาหรือโหน่ง และ นาย แก่ วิ่ง ไล่ ตาม จำเลย ไป จน ถึง บ้าน ได้ ถีบ รั้ว และ ใช้ มีด ฟัน รั้ว บ้าน จำเลย แล้ว กลับมา ให้ นาย อุเทน พา ผู้ตาย ส่ง โรงพยาบาล บางขุนเทียน ฝ่าย จำเลย มี ตัว จำเลย เด็ก ชาย พงศกร จึงชนินทร์กุล และ นาง สุรินทร์ จึงชนินทร์กุล เป็น พยาน เบิกความ ว่า ขณะ เดินทาง กลับ จาก ดู ภาพยนตร์ เห็น นาย สมชาย จึงชนินทร์กุล น้องชาย จำเลย ซึ่ง เดินทาง กลับ บ้าน ก่อน ได้ ถูก กลุ่มวัยรุ่น ที่ ล้ม จอภาพยนตร์รุมทำร้าย จำเลย ร้อง ห้าม จึง ถูก กลุ่ม วัยรุ่น รุมทำร้าย ด้วย จน ตกลงไป ใน คูน้ำ ถึง 3 ครั้ง จำเลย วิ่งหนี กลับ บ้าน ระหว่าง ทาง นาย อ้า ได้ ออก มา ห้าม ได้ ถูก กลุ่ม วัยรุ่น ใช้ มีดดาบ หัว ตัด ฟัน ที่ ขา นาย อ้า วิ่ง เข้า บ้าน ก่อน จำเลย จะ ถึง บ้าน ประมาณ 10 เมตร ได้ ถูก ฟัน ที่ศีรษะ ด้านหลัง ล้ม ลง เห็น นาย อ้า ถือ มีดดาบ และ น้องชาย จำเลย ถือ มีดปลายแหลม วิ่ง ออก มาจาก บ้าน ต่อมา น้องชาย จำเลย บอก ว่า ได้ ใช้ มีด แทงคน ที่ ฟัน ศีรษะ จำเลย จน มิดด้าม กลุ่ม วัยรุ่น ได้ ตาม มา ถีบ ประตู รั้ว บ้านจน พัง และ ตาม เข้า มา ใน บ้าน ถาม หา คน ที่ แทง และ ใช้ เท้า ถีบ นาง สุรินทร์ ล้ม ลง เห็นว่า ปรากฏ ตาม บันทึก การ ตรวจ สถานที่เกิดเหตุ และ แผนที่ สังเขปแสดง สถานที่เกิดเหตุ เอกสาร หมาย จ. 1 และ จ. 2 ซึ่ง พันตำรวจโท สิงห์โต ทองวงษ์ ได้ ทำ ขึ้น ทันที ใน คืน เกิดเหตุ ภายหลัง เกิดเหตุ เพียง เล็กน้อย ว่า ที่เกิดเหตุ เป็น ถนน ซอย ใน หมู่บ้าน มี บ้านพัก อาศัย อยู่ทั้ง สอง ข้างทาง มี แสง สว่าง จาก ไฟฟ้า สาธารณะ และ ไฟฟ้า หน้า บ้านนอกจาก นี้ ร้อยตำรวจเอก สุพจน์ อาวุโสสกุล พยานโจทก์ อีก ปาก หนึ่ง เบิกความ ว่า ขณะ ออก ตรวจ ท้องที่ ได้รับ แจ้ง จาก ศูนย์ วิทยุ กรุงธนว่าเกิดเหตุ ใช้ อาวุธ มีด ทำร้าย กัน ที่ ซอย ขันทอง จึง ได้ รีบ ไป ยัง ที่ เกิดเหตุ และ ตาม ผู้บาดเจ็บ ไป ที่ โรงพยาบาล บางขุนเทียน ได้รับ แจ้ง จาก พยาน ว่า พวก ที่ ทำร้าย ผู้ตาย ก็ ได้รับ บาดเจ็บ และ ไป รักษา อยู่ ที่โรงพยาบาล บางมด จึง ได้ ตาม ไป ที่ โรงพยาบาล บางมด พร้อม กับ นาย อุเทน พยานโจทก์ พบ จำเลย ซึ่ง ได้รับ บาดเจ็บ ที่ ใบหน้า และ ศีรษะ กำลัง รับ การ รักษา อยู่ นาย อุเทน ได้ ชี้ ตัว จำเลย และ ยืนยัน ว่า จำเลย ใช้ มีด แทง ผู้ตาย วันรุ่งขึ้น พยาน ได้ นำ หมาย ค้น ไป ค้นบ้าน จำเลยพบ มีดดาบ ปลาย แหลม ยาว ประมาณ 50 เซนติเมตร วาง อยู่ ใน บ้าน และ พบมีดบาง เปื้อนเลือด ยาว ประมาณ 30 เซนติเมตร ตกอยู่ใน รั้ว บ้าน ตามบันทึก การ ตรวจค้น เอกสาร หมาย จ. 4 เห็น ได้ว่า คืน เกิดเหตุ พยานโจทก์ได้ พบ เห็น จำเลย ถึง 2 ครั้ง และ ต่อสู้ กับ จำเลย ใน ระยะ ใกล้ เมื่อ เห็นจำเลย ที่ โรงพยาบาล บางมด นาย อุเทน ชี้ บอก ใน ทันที ว่า จำเลย เป็น คน ใช้ มีด แทง ผู้ตาย บาดแผล ที่ จำเลย ได้รับ ที่ ใบหน้า และ ที่ ศีรษะก็ ตรง กับ ที่นาย อุเทน เบิกความ ผู้ตาย ใช้ มีด ฟัน จำเลย และ นาย อุเทน ใช้ ไม้ ตี ที่ ศีรษะ จำเลย ประกอบ กับ สถานที่เกิดเหตุ มี แสง สว่าง จาก ไฟฟ้าเห็น กัน ได้ ชัดเจน เชื่อ ได้ว่า พยานโจทก์ ดังกล่าว จำ จำเลย ได้ จริงส่วน ที่ พยาน เบิกความ แตกต่าง กัน ไป บ้าง โดย นาย อุเทน ว่า มีด ที่ จำเลย กับพวก ถือ นั้น เป็น มีดปลายแหลม บาง ยาว คล้าย มีด หั่น แตงโมนาย ศักดิ์ดาหรือเชิด ว่า จำเลย ถือ มีดดาบ ไทย ยาว ประมาณ 1 ช่วง แขน นาย ศักดาหรือโหน่ง ว่า จำเลย ถือ มีดปลายแหลม ยาว ประมาณ 1 ศอก ใบ มีด เป็น สแตนเลส สี ขาว นั้น เป็น การ แตกต่าง กัน เพียง เล็กน้อย ไม่ใช่ใน ข้อ สาระสำคัญ และ แม้ พยานโจทก์ จะ ยืนยัน ว่า ผู้ตาย ถูก จำเลย แทง ที่ หลังครั้งเดียว แต่ ปรากฏ ตาม รายงาน การ ตรวจ ศพ ว่า ผู้ตาย มี บาดแผล ถูก แทงที่ ด้านหลัง ขวา และ ที่ ชายโครง ซ้าย ด้วย ก็ อาจ เป็น ได้ว่า ใน การ ต่อสู้ กันนั้น ผู้ตาย ถูก พวก ของ จำเลย ทำร้าย ด้วย แต่ พัน ตำรวจ ตรี นายแพทย์ สุวิชัย ประทีปวิสรุต ผู้ทำการ ชัณ สูตร พลิก ศพ และ ตรวจ ศพ ผู้ตาย เบิกความ ว่า บาดแผล ที่ ทำให้ ผู้ตาย ถึงแก่ความตาย คือ บาดแผล ถูก แทง ที่ลิ้นปี่ ถูก หัว ใจ เป็น การ แทง จาก ด้านหน้า ไป ด้านหลัง ตรง กับ ที่ พยานโจทก์เบิกความ ว่า ผู้ตาย ถูก จำเลย แทง ที่ ท้อง พร้อม กับ ที่ ผู้ตาย ใช้ มีด ฟันจำเลย แล้ว ล้ม ลง ทันที การ ที่ จำเลย ใช้ มีด ยาว ปลาย แหลม แทง ผู้ตายที่ อวัยวะ สำคัญ ลึก ถึง หัว ใจ ถือได้ว่า จำเลย มี เจตนาฆ่า ผู้ตาย ตามโจทก์ ฟ้อง ฎีกา จำเลย ฟังไม่ขึ้น อย่างไร ก็ ดี ปรากฏ ตาม คำพยาน โจทก์ เองว่า กลุ่ม ผู้ตาย กับพวก มี พฤติการณ์ เป็น อันธพาล ระหว่าง ดู ภาพยนตร์นั้น ได้ ตั้ง วง ดื่ม สุรา แล้ว ใช้ ขวด สุรา ขว้างปา จอภาพยนตร์และ ล้ม จอและ ได้ความ จาก คำของ นาย อุเทน พยานโจทก์ ใน การ ตอบ คำถามค้าน ของ ทนายจำเลย ว่า ระหว่าง ทางเดิน กลับ บ้าน ได้ ร่วมกัน ทำร้าย ชาย คนหนึ่งที่ มี อายุ ใกล้เคียง กับ จำเลย ซึ่ง จำเลย นำสืบ ว่า เป็น น้องชาย จำเลยโดย ทั้ง เตะ ต่อย และ ถีบ จน น้องชาย จำเลย ตกลง ไป ใน คูน้ำ โดย ที่น้องชาย จำเลย เพียง เดิน ผ่าน มา ไม่ได้ ต่อสู้ ต่อมา เมื่อ พบ จำเลย กับ เด็กเดิน สวนทาง มา ก็ ได้ ร่วมกัน ทำร้าย จำเลย ฝ่ายเดียว อีก จน จำเลย ตกลง ไปใน คูน้ำ จำเลย จึง วิ่ง กลับ บ้าน ซึ่ง อยู่ ห่าง ไป ประมาณ 300 เมตรเอา มีด มา ต่อสู้ กับพวก ผู้ตาย แม้ จะ ไม่ได้ กระทำ ลง ทันที หรือ ณ ที่ ซึ่งถูก ข่มเหง แต่ อยู่ ใน ระยะเวลา ต่อเนื่อง กระชั้นชิด กัน ถือได้ว่าจำเลย กระทำผิด ด้วย เหตุ บันดาลโทสะ โดย ถูก ข่มเหง อย่างร้ายแรง ด้วย เหตุอัน ไม่เป็นธรรม ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ซึ่ง ศาล จะ ลงโทษจำเลย น้อยกว่า ที่ กฎหมาย กำหนด ไว้ สำหรับ ความผิด นั้น เพียงใด ก็ ได้และ แม้ จำเลย จะ มิได้ ยก เรื่อง บันดาลโทสะ ขึ้น ต่อสู้ ศาลฎีกา ก็ มีอำนาจยกขึ้น วินิจฉัย เอง ได้ เพราะ เป็น ข้อกฎหมาย ที่ เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อย ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ”
พิพากษาแก้ เป็น ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83 ประกอบ มาตรา 72 ให้ จำคุก 3 ปี นอกจาก ที่ แก้คง ให้ เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์

Share