คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลย มีข้อความสรุปได้ว่า โจทก์กับจำเลยทำสัญญาซื้อขายกันเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2526 โดยจำเลยตกลงขายบ้านและที่ดินซึ่งระบุไว้ในสัญญา และจะส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่โจทก์ประมาณเดือนพฤษภาคม 2527 แสดงว่า คู่สัญญามีเจตนาจะไปโอนทรัพย์สินที่ซื้อขายกันในภายหลัง มิได้มีเจตนาจะให้กรรมสิทธิ์โอนจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อทันทีในวันทำสัญญา จึงมีลักษณะเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย ซึ่งเพียงแต่ทำเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดตามสัญญา ก็เรียกร้องให้บังคับระหว่างกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขาย ขอให้บังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาหรือคืนเงินที่โจทก์ได้ชำระราคาให้จำเลยไว้สิทธิเรียกร้องในกรณีนี้ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้กำหนดอายุความทั่วไป 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2526 จำเลยได้ตกลงขายบ้านและที่ดินที่ถนนราษฎร์อุทิศ ตามแปลนหมายเลข 5 โฉนดเลขที่10 และโฉนดเลขที่ 510 ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาให้แก่โจทก์ในราคา 390,000 บาท โจทก์ชำระค่าบ้านและที่ดินแก่จำเลยครบถ้วนแล้วในวันทำสัญญา จำเลยตกลงจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินแก่โจทก์ในเดือนพฤษภาคม 2527 ถึงกำหนดจำเลยยังไม่จดทะเบียนโอนให้โจทก์ กลับจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินนั้นแก่บุคคลภายนอก โจทก์บอกกล่าวทวงถามให้จำเลยจดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินแก่โจทก์หรือคืนเงิน แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดิน ถนนราษฎร์อุทิศแก่โจทก์หรือให้คืนเงินแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า สัญญาซื้อขายที่ดินตามฟ้องไม่ได้จดทะเบียนเป็นโมฆะ โจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีในกำหนดอายุความ 2 ปี นับแต่จำเลยผิดสัญญา ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์ทำสัญญาซื้อขาย เอกสารหมาย จ.1 กับจำเลย โดยมีข้อสัญญาว่าจำเลยจะขายบ้านและที่ดินตามแปลนหมายเลข 5 ของโฉนดเลขที่ 10 และโฉนดเลขที่ 510 ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ให้แก่โจทก์ในราคา 390,000 บาท สัญญาฉบับดังกล่าวระบุว่า ผู้ซื้อได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว แต่ผู้ขายยังไม่ได้ส่งมอบทรัพย์สินแก่ผู้ซื้อ ต่อมาภายหลังจากทำสัญญาเอกสารหมาย จ.1 แล้ว จำเลยได้โอนขายบ้านและที่ดินตามสัญญาดังกล่าวให้แก่นางจินดา จันทรจริงจิต โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเป็นประการแรกว่าสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 เป็นโมฆะหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าสัญญาฉบับดังกล่าวไม่ได้จดทะเบียนจึงเป็นโมฆะ ในข้อนี้ ได้พิจารณาสัญญาซื้อขาย เอกสารหมาย จ.1 แล้ว มีข้อความสรุปได้ว่าโจทก์กับจำเลยทำสัญญาซื้อขายกันเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2526 โดยจำเลยตกลงขายบ้านและที่ดินซึ่งระบุไว้ในสัญญา และจะส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่โจทก์ประมาณเดือนพฤษภาคม 2527 ข้อตกลงในสัญญาดังนี้ เห็นได้ว่า คู่สัญญามีเจตนาจะไปโอนทรัพย์สินที่ซื้อขายกันในภายหลังหาได้มีเจตนาจะให้กรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินโอนจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อทันทีในวันทำสัญญาไม่ สัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1จึงมีลักษณะเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย ซึ่งเพียงแต่ได้ทำขึ้นเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดตามสัญญา ก็เรียกร้องให้บังคับระหว่างกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสองไม่จำต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 ไม่เป็นโมฆะ จึงชอบแล้วฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว ทั้งนี้เพราะโจทก์ไม่ได้ฟ้องภายในกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2526ซึ่งเป็นวันทำสัญญาซื้อขาย ในข้อนี้เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาซื้อขาย ขอให้บังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาหรือคืนเงินที่โจทก์ได้ชำระราคาให้จำเลยไว้ สิทธิเรียกร้องในกรณีนี้ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้กำหนดอายุความทั่วไป10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share