แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การซัดทอดจำเลยที่ 2 ซึ่งคำให้การซัดทอดดังกล่าว จำเลยที่ 1 ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนทันทีในวันที่จำเลยที่ 1 ถูกจับเป็นการยากที่จำเลยที่ 1 จะปรุงแต่งขึ้นไว้เพื่อต่อสู้คดีหรือปรักปรำจำเลยที่ 2 ทั้งเป็นคำให้การที่มิได้เกิดจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญหลอกลวงหรือโดยมิชอบประการอื่น และคำให้การชั้นสอบสวนของผู้กระทำผิดด้วยกันก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายห้ามมิให้ศาลรับฟังแต่อย่างไร ดังนั้นคำให้การของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนศาลย่อมนำมาฟังประกอบการพิจารณาลงโทษจำเลยที่ 2 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340,340 ตรี, 289, 83, 33 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 ริบของกลาง ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 17,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4), 83จำเลยที่ 1 และที่ 2 อายุคนละ 20 ปี ไม่สมควรลดมาตราส่วนโทษให้ลงโทษประหารชีวิต จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(1) คงลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต ริบของกลาง ความผิดฐานปล้นทรัพย์และคำขออื่นให้ยกเสีย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าผู้ตายเคยอยู่กินฉันสามีภรรยากับจำเลยที่ 1 มาประมาณ 2 ปีแล้วแยกทางกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 มาแต่งงานอยู่กินกับจำเลยที่ 2วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 16 นาฬิกา จำเลยที่ 1 มาหาผู้ตายที่ที่ทำงานแล้วผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ให้จำเลยที่ 1 นั่งซ้อนท้ายออกไปด้วยกันเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุมีคนร้าย 3 คนร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงและใช้ไม้ตีผู้ตาย เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 หลบหนีไปพร้อมกับพวกคนร้าย มีปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่…จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับคนร้ายฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 มีว่า จำเลยที่ 2ได้ร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ พิเคราะห์แล้วแม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายร่วมกันฆ่าผู้ตายก็ตาม แต่โจทก์ก็มีคำให้การของจำเลยที่ 1ในชั้นสอบสวนที่ให้การซัดทอดว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกอีก 2 คนใช้อาวุธปืนยิงและใช้ไม้ตีผู้ตายถึงแก่ความตาย (เอกสารหมาย ป.จ.6)มาเป็นหลักฐานสำคัญเห็นว่าคำให้การซัดทอดของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนดังกล่าว จำเลยที่ 1 ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนทันทีในวันที่จำเลยที่ 1 ถูกจับเป็นการยากที่จำเลยที่ 1 จะปรุงแต่งขึ้นไว้เพื่อต่อสู้คดีหรือปรักปรำจำเลยที่ 2 ทั้งเป็นคำให้การที่มิได้เกิดจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวงหรือโดยมิชอบประการอื่น และคำให้การชั้นสอบสวนของผู้กระทำผิดด้วยกันก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายห้ามมิให้ศาลรับฟังแต่อย่างไร ดังนั้นคำให้การของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนศาลย่อมนำมาฟังประกอบการพิจารณาได้คดีนี้ปรากฏว่าในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพทั้งยังได้นำชี้สถานที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและมีการถ่ายภาพไว้ด้วย ปรากฏตามบันทึกการจับกุม บันทึกคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 บันทึกการนำชี้สถานที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและภาพถ่าย เอกสารหมาย จ.6, ป.จ.13, ป.จ.16, และ ป.จ.17 ตามลำดับ คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 มีรายละเอียดมากมายเริ่มตั้งแต่จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งจำเลยที่ 1 ที่ข้างที่ทำงานของผู้ตาย เมื่อผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ออกมากับจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 กับพวกก็ตามไปยิงผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วหลบหนีไปจนกระทั่งถูกจับ รายละเอียดเหล่านี้ยากที่พนักงานสอบสวนจะปรุงแต่งขึ้นเอง นอกจากนี้ในการนำชี้สถานที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ก็ได้กระทำในที่สาธารณะมีประชาชนหลายคนมามุงดูที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าถูกบังคับขู่เข็ญให้การรับสารภาพและแสดงท่าทางต่าง ๆ ประกอบคำรับสารภาพ จึงฟังไม่ขึ้น ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมเป็นคนร้ายฆ่าผู้ตายถึงแก่ความตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน