คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 935/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สิทธิการเช่าซึ่งได้แก่สิทธิที่จะได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าซึ่งหญิงมีสามีได้มาระหว่างสมรส ย่อมเป็นสินบริคณห์ ซึ่งภรรยาถ้าทำการผูกพันสิทธิการเช่าโดยมิได้รับอนุญาตจากสามีแล้ว สามีอาจบอกล้างเสียได้ แต่จะต้องไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ให้เช่าด้วย เพราะสิทธิการเช่าจะต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของกฎหมาย และสัญญาเช่า
การที่ภรรยาซึ่งเป็นผู้เช่าได้สิทธิการเช่ามาในระหว่างสมรส และโอนสิทธิการเช่าให้บุคคลอื่นโดยผู้ให้เช่ายินยอมด้วย ในเมื่อการเช่าทรัพย์เป็นสิทธิเฉพาะตัว ถ้าภรรยาซึ่งเป็นผู้เช่าบอกเลิกสัญญาเช่านั้นไม่ได้ ฉะนั้น สามีย่อมจะบอกล้างการโอนการเช่าดังกล่าวเพื่อให้กลับมีสภาพคงคืนตามสัญญาเช่าเดิมก็ไม่ได้ดุจกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสามีจำเลยที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2490 จำเลยที่ 1 โดยความยินยอมของโจทก์และทำการแทนโจทก์ ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินและโรงเรือนจากจำเลยที่ 3 ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ถือว่าเป็นเคหะได้รับความคุ้มครอง ต่อมาจำเลยสมคบกันโดยจำเลยที่ 2 จัดให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาโอนสิทธิการเช่าให้จำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 3 ได้เปลี่ยนตัวผู้เช่าใหม่ จากจำเลยที่ 1 มาเป็นจำเลยที่ 2 แทนนิติกรรมจึงเป็นโมฆียะ จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสามจัดการโอนสิทธิการเช่ามาเป็นของจำเลยที่ 1 ห้ามจำเลยที่ 2 เกี่ยวข้องหากไม่ปฏิบัติตามให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าเสียหาย

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นเห็นว่า แม้จะฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นภรรยาโจทก์และได้สิทธิการเช่ามาในระหว่างเป็นสามีภรรยากัน และจำเลยที่ 1 โอนสิทธิการเช่าให้จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 ยินยอมก็ตาม แต่การเช่าทรัพย์เป็นสิทธิเฉพาะตัว เมื่อโจทก์ยินยอมมอบให้จำเลยที่ 1 ไปทำสัญญาเช่าโดยโจทก์ไม่ได้เปิดเผยชื่อตัวการ โจทก์ไม่อาจจะกระทำการใด ๆ ให้เสื่อมเสียแก่บุคคลภายนอกได้ โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดียังมีข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป พิพากษายกให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยให้สิ้นความแล้วพิพากษาใหม่

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิการเช่าคือสิทธิที่จะได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินซึ่งจำเลยที่ 1 ได้มานั้น เป็นทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสและสินบริคณห์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามธรรมดาถ้าจำเลยที่ 1 ทำการอันเป็นการผูกพันสิทธิการเช่าโดยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์แล้ว โจทก์อาจบอกล้างเสียได้ แต่ทั้งนี้จะต้องเป็นเรื่องที่ไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ให้เช่า แต่ถ้ากระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ให้เช่าแล้ว จะต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของกฎหมายอันว่าด้วยการเช่าและสัญญาเช่า ดังคำพิพากษาฎีกาที่ 1/2502 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 544 บัญญัติห้ามมิให้ผู้เช่าเอาทรัพย์สินที่เช่าไปให้เช่าช่วงและห้ามโอนสิทธิการเช่าไปให้แก่บุคคลภายนอก บทบัญญัติมาตรานี้ย่อมเป็นหลักอยู่ว่า สิทธิเรียกร้องที่จะได้ใช้หรือรับประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าต่อผู้ให้เช่านั้นเป็นสิทธิเฉพาะตัวผู้เช่าเท่านั้น จะโอนจะแบ่งตามกฎหมายครอบครัวก็ดี ตามนิติกรรมก็ดี ถ้ามิได้มีข้อตกลงไว้ในสัญญาเช่า หรือมิได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่าแล้ว ก็เป็นอันว่าจะโอนจะแบ่งไปยังบุคคลภายนอกแม้จะเป็นสามีหรือภรรยาหรือทายาทของผู้เช่าไม่ได้หลักกฎหมายว่าด้วยการเช่ามีข้อจำกัดอยู่ดังนี้ จึงมีผลไปถึงว่าถ้าภรรยาซึ่งเป็นผู้เช่าบอกเลิกสัญญาเช่าต่อผู้ให้เช่าแล้วสามีก็บอกล้างการบอกเลิกสัญญานั้นไม่ได้ สำหรับการโอนการเช่าในคดีนี้ ก่อให้เกิดผล 2 ประการ คือ สัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 เลิกหรือระงับไปและมีสัญญาเช่าระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ขึ้น โจทก์จะบอกเลิกล้างการโอนการเช่าในคดีนี้เพื่อให้กลับมีสภาพคงคืนตามสัญญาเช่าเดิมหาได้ไม่

พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share