แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เครื่องบรรจุเอกสารพิพาททั้งสามเป็นเครื่องเก่าที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว เป็นธรรมดาที่สมรรถนะของเครื่องไม่อาจเทียบได้กับเครื่องใหม่ การซื้อขายสินค้าจึงต้องพิจารณาจากข้อตกลงและพฤติการณ์ของคู่สัญญาเป็นกรณีไป ดังนั้น การปรับบทกฎหมายในเรื่องความรับผิดกรณีมีความชำรุดบกพร่องจึงต้องพิจารณาองค์ประกอบของกฎหมายในแต่ละมาตราประกอบกัน ไม่ใช่พิจารณาเฉพาะมาตราหนึ่งมาตราใด จากข้อเท็จจริงเมื่อโจทก์ติดตั้งเครื่องบรรจุเอกสารแต่ละเครื่องเสร็จ โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาให้บริการกัน ต่อมามีการทำใบสั่งซื้อเครื่องบรรจุเอกสารทั้งสามเครื่อง แสดงว่าจำเลยยอมรับสินค้าของโจทก์ตามสภาพของสินค้าที่มีการติดตั้งแล้ว และขณะติดตั้งเครื่องบรรจุเอกสารไม่ได้ชำรุดบกพร่อง จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระเงินค่าเครื่องบรรจุเอกสารจะอ้างความชำรุดบกพร่องอันไม่สามารถเห็นประจักษ์ในเวลาส่งมอบมาปฏิเสธไม่ชำระค่าสินค้าไม่ได้ เพราะไม่เป็นไปตามข้อตกลงแห่งสัญญา ส่วนภายหลังนั้นการใช้งานเครื่องบรรจุเอกสารมีความชำรุดบกพร่อง ก็เป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยต้องว่ากล่าวกันตามข้อตกลงสัญญาให้บริการ มิใช่กรณีที่จำเลยจะอ้างเป็นเหตุไม่ชำระราคาค่าสินค้าได้
การพิจารณาว่าฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนใดเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมหรือไม่ เพียงใด จะต้องพิจารณาจากคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งฉบับเปรียบเทียบกับคำฟ้องของโจทก์ ไม่ใช่พิจารณาเฉพาะตอนหนึ่งตอนใดเท่านั้น คำฟ้องโจทก์บรรยายสรุปว่า จำเลยสั่งซื้อเครื่องบรรจุเอกสารจากโจทก์ จำเลยได้รับสินค้าแล้ว เมื่อถึงกำหนดชำระราคาสินค้า จำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินค้า จำเลยให้การต่อสู้และฟ้องแย้งสรุปว่า การรับสินค้าของจำเลยเป็นการรับเพื่อทดลองใช้ เมื่อทดลองใช้แล้วสินค้ามีการชำรุดบกพร่อง จำเลยจึงมีสิทธิยึดหน่วงสินค้าและเรียกร้องค่าเสียหายนอกเหนือไปกว่าราคาที่ยึดหน่วงไว้ ดังนั้น คำขอในส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย จึงเป็นคำขอที่เกิดจากการซื้อขายสินค้าตามคำฟ้องของโจทก์นั่นเอง ฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนนี้จึงเกี่ยวกับฟ้องเดิม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 4,606,335.62 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งบังคับให้โจทก์ชำระเงิน 8,116,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องแย้ง และชำระค่าเสียหายอีกเดือนละ 901,800 บาท จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,500,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 8 กันยายน 2547จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ10,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 4,500,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2547 จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่รับฟ้องแย้งในส่วนที่เรียกค่าเสียหายเกี่ยวกับเครื่องบรรจุเอกสาร คืนค่าขึ้นศาลตามฟ้องแย้งทั้งสองศาลให้แก่จำเลยค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องแย้งทั้งสองศาลนอกจากนี้ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 10,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่า จำเลยซื้อเครื่องบรรจุเอกสาร 3 เครื่อง เป็นเครื่องจักรเก่า เครื่องละ 1,500,000 บาท จากโจทก์ โดยโจทก์นำเครื่องบรรจุเอกสารดังกล่าวไปประกอบและติดตั้งให้จำเลย ณ ที่ทำการของจำเลยแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2547 วันที่ 28 เมษายน 2547 และวันที่ 21 มิถุนายน 2547 ตามลำดับ ต่อมาวันที่ 24 สิงหาคม 2547 จำเลยทำใบสั่งซื้อเครื่องบรรจุเอกสารดังกล่าวจากโจทก์ วันที่ 8 กันยายน2547 โจทก์ออกใบวางบิลจำนวนเงิน 4,500,000 บาท ให้จำเลย เมื่อถึงกำหนดชำระเงินจำเลยไม่ชำระ
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกคือ จำเลยต้องชำระค่าเครื่องบรรจุเอกสารให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า เครื่องบรรจุเอกสารพิพาทเป็นเครื่องเก่าที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่สมรรถนะของเครื่องไม่อาจเทียบได้กับเครื่องใหม่ การซื้อขายสินค้าจึงต้องพิจารณาจากข้อตกลงและพฤติการณ์ของคู่สัญญา เป็นกรณีไป ดังนั้น การปรับบทกฎหมายในเรื่องความรับผิดกรณีมีความชำรุดบกพร่องจึงต้องพิจารณาองค์ประกอบของกฎหมายในแต่ละมาตราประกอบกัน ไม่ใช่พิจารณาเฉพาะมาตราหนึ่งมาตราใด จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ โจทก์ติดตั้งเครื่องบรรจุเอกสารเครื่องแรกให้จำเลยในเดือนมีนาคม 2547 เครื่องที่สองในเดือนเมษายน 2547 และเครื่องสุดท้ายในเดือนมิถุนายน 2547 เมื่อติดตั้งแต่ละเครื่องเสร็จ โจทก์และจำเลยจึงทำสัญญาให้บริการกัน เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2547 วันที่ 1 พฤษภาคม 2547 และวันที่ 1 กรกฎาคม 2547 ตามสัญญาให้บริการพร้อมคำแปล ต่อมาวันที่ 24 สิงหาคม 2547 จึงมีการทำใบสั่งซื้อเครื่องบรรจุเอกสารทั้งสามเครื่องนั้น ข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงว่าจำเลยยอมรับสินค้าของโจทก์ตามสภาพของสินค้าที่มีการติดตั้งดังกล่าวแล้ว และขณะมีการติดตั้งเครื่องบรรจุเอกสาร ณ ที่ทำการของจำเลย เครื่องบรรจุเอกสารไม่ได้ชำรุดบกพร่อง จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระเงินค่าเครื่องบรรจุเอกสารนั้น ตามที่ระบุในใบวางบิล จำเลยจะอ้างความชำรุดบกพร่องที่ไม่สามารถเห็นประจักษ์ในเวลาส่งมอบมาปฏิเสธการไม่ชำระค่าสินค้าไม่ได้เพราะไม่เป็นไปตามข้อตกลงแห่งสัญญา ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยต้องรับผิดชำระค่าสินค้าให้โจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ในส่วนที่จำเลยฎีกาทำนองว่า ภายหลังการใช้งานเครื่องบรรจุเอกสารดังกล่าวมีความชำรุดบกพร่อง และจำเลยแจ้งให้โจทก์แก้ไขเป็นระยะมาโดยตลอด กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยต้องว่ากล่าวกันตามข้อตกลงตามสัญญาให้บริการพร้อมคำแปล ไม่เป็นกรณีที่จำเลยจะอ้างเป็นเหตุไม่ชำระราคาค่าสินค้าได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปคือ ปัญหาฟ้องแย้งของจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่าการพิจารณาว่าฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนใดเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมหรือไม่เพียงใด จะต้องพิจารณาจากคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งฉบับเปรียบเทียบกับคำฟ้องของโจทก์ไม่ใช่พิจารณาเฉพาะตอนหนึ่งตอนใดเท่านั้น คดีนี้ คำฟ้องโจทก์บรรยายสรุปว่าจำเลยสั่งซื้อเครื่องบรรจุเอกสารจากโจทก์ จำเลยได้รับสินค้าแล้ว เมื่อถึงกำหนดชำระราคาสินค้าจำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินค้าดังกล่าว จำเลยให้การต่อสู้และฟ้องแย้งสรุปว่า การรับสินค้าของจำเลยเป็นการรับเพื่อทดลองใช้ เมื่อทดลองใช้แล้วสินค้าดังกล่าวมีการชำรุดบกพร่อง จำเลยจึงมีสิทธิยึดหน่วงสินค้า และเรียกร้องค่าเสียหายนอกเหนือไปกว่าราคาที่ยึดหน่วงไว้ ดังนั้น คำขอในส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย จึงเป็นคำขอที่เกิดจากการซื้อขายสินค้าตามคำฟ้องของโจทก์นั่นเอง ฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนนี้จึงเกี่ยวกับฟ้องเดิม ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนนี้ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่รับฟ้องแย้งในส่วนที่เรียกค่าเสียหายเกี่ยวกับเครื่องบรรจุเอกสาร ไม่คืนค่าขึ้นศาลตามฟ้องแย้งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้จำเลยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา10,000 บาท แทนโจทก์