แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์เป็นผู้เคยช่วยติดต่อหาซื้อที่ดินให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 และ ง. ทั้งยังเป็นผู้ดูแลและหาคนมาเช่าที่ดิน โจทก์จึงเป็นผู้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าว การที่จำเลยทั้งสามไปหาข้อมูลรายละเอียดข้อเท็จจริงจากโจทก์ และโจทก์ยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับทนายความและติดตามหาบุคคลที่เกี่ยวข้องไปเป็นพยานให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 งานของโจทก์เป็นงานรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับคดี ส่วนที่โจทก์ต้องไปเบิกความเป็นพยานในฐานะเป็นผู้รู้รายละเอียดข้อเท็จจริงก็เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องที่ต้องกระทำ งานที่โจทก์ปฏิบัติไม่ขัดต่อกฎหมายเรื่องการรับฟังพยานหลักฐาน ทั้งไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งห้ามคู่ความให้ค่าตอบแทนแก่พยาน การที่จำเลยทั้งสามตกลงให้ค่าตอบแทนในการทำงานแก่โจทก์เป็นเรื่องที่ฝ่ายจำเลยทั้งสามเสนอผลประโยชน์ให้แก่โจทก์เอง โจทก์มิได้เรียกร้องเอาจากจำเลยทั้งสามแต่อย่างใด ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าวมิใช่ทรัพย์สินที่พิพาทหรือคำนวณเป็นอัตราส่วนเอาจากทรัพย์สินที่พิพาท เมื่อเทียบกับมูลค่าทรัพย์สินที่ฝ่ายจำเลยทั้งสามจะได้รับคืนและจำนวนคดีที่จำเลยทั้งสามเป็นความซึ่งใช้เวลานาน 8 ถึง 9 ปี ค่าตอบแทนที่จำเลยทั้งสามเสนอให้แก่โจทก์จึงไม่สูงจนเกินไปนัก ดังนั้น ข้อตกลงที่จำเลยทั้งสามว่าจ้างโจทก์ให้เบิกความเป็นพยาน ให้คำปรึกษา และให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีตามความเป็นจริงโดยจะให้ค่าจ้างเป็นเงิน 2,000,000 บาท จึงไม่เป็นการแสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่เป็นโมฆะแต่อย่างใด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,033,698 บาท ตามสัญญาพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงิน 2,000,000 บาท นับแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า สัญญาที่โจทก์ฟ้อง ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงตกเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 1,980,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นสามีของจำเลยที่ 2 และเป็นพี่ชายของจำเลยที่ 3 ตั้งแต่ปี 2517 เป็นต้นมาจำเลยที่ 1 และที่ 3 เข้าหุ้นกับนายสง่า เจียมปัญญารัช ร่วมกันซื้อที่ดินเพื่อค้ากำไรโดยใส่ชื่อจำเลยที่ 2 ด้วย รวม 20 แปลงเนื้อที่ประมาณ 238 ไร่ และได้มอบหมายให้โจทก์เป็นผู้ดูแลที่ดินทั้งหมด ต่อมานายสง่าฟ้องเลิกห้างหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 และมีคดีพิพาทเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวรวม 17 คดี โดยโจทก์ได้ไปเป็นพยานให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ทุกคดีรวมทั้งให้รายละเอียดเกี่ยวกับที่ดินและติดต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องมาเป็นพยานให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ต่อมาเมื่อคดีระหว่างนายสง่ากับจำเลยที่ 1 และที่ 3 เสร็จสิ้นทุกคดี โดยจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้รับส่วนแบ่งที่ดินจากนายสง่าและขายได้เป็นเงิน 50,000,000 บาท โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสามจ่ายค่าตอบแทนจำนวน 2,000,000 บาท จำเลยทั้งสามไม่ชำระให้อ้างว่าไม่มีข้อตกลงกันมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามประการแรกว่า จำเลยทั้งสามตกลงว่าจ้างโจทก์ให้เบิกความเป็นพยาน ให้คำปรึกษา และให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีโดยจะให้ค่างจ้างเป็นเงิน 2,000,000 บาท หรือไม่ โจทก์และจำเลยทั้งสามนำสืบข้อเท็จจริงยันกัน โดยฝ่ายโจทก์ยืนยันว่าจำเลยทั้งสามและนางบัวภริยาของจำเลยที่ 3 ไปหาโจทก์ที่บ้าน และจำเลยที่ 1 บอกโจทก์ว่า ถูกนายสง่าโกงที่ดิน ขอให้โจทก์ช่วย หากโจทก์ไม่ช่วยจำเลยที่ 1 จะหมดเนื้อหมดตัว ขอให้โจทก์ไปเบิกความเป็นพยานในศาลทุกคดีโดยจำเลยทั้งสามจะให้ค่าตอบแทนเป็นเงิน 2,000,000 บาท เมื่อได้ที่ดินคืนจากนายสง่าและขายที่ดินได้แล้ว ส่วนจำเลยทั้งสามยืนยันว่า ที่ไปหาโจทก์นั้นเพียงแต่ขอให้เป็นพยานแต่ไม่ได้จ้างโจทก์ เห็นว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 3 มิได้มีการทำบันทึกข้อตกลงกันไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ตามข้อเท็จจริงจำเลยที่ 1 และที่ 3 มีคดีพิพาทกับนายสง่ารวมแล้วถึง 17 คดี จำเลยที่ 1 และที่ 3 ต้องไปขอข้อมูลจากโจทก์ซึ่งรู้เรื่องเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเป็นอย่างดี โจทก์ได้ให้คำปรึกษารายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินแก่ฝ่ายจำเลยที่ 1 และที่ 3 และเป็นพยานเบิกความในศาลให้ทุกคดี จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นความกับนายสง่านาน 8 ถึง 9 ปี จนกระทั่งโจทก์ถูกนายสง่ากับพวกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญา โจทก์ได้ทุ่มเททำงานให้แก่ฝ่ายจำเลยที่ 1 และที่ 3 อย่างมาก น่าเชื่อว่าทำไปเพราะมีข้อตกลงให้ค่าตอบแทนกัน มิเช่นนั้นคงไม่ยอมเหนื่อยยากขนาดนี้ นอกจากนี้การที่นายภาณุสิทธิ์ วิจิตรานนท์ ซึ่งเคยเป็นทนายความว่าความให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 เคยไปหาโจทก์ที่บ้านเมื่อปี 2538 นั้น โจทก์เบิกความว่านายภาณุสิทธิ์บอกว่าจำเลยทั้งสามใช้ให้มาเจรจาขอลดค่าตอบแทนกับโจทก์ ซึ่งนายภาณุสิทธิ์พยานจำเลยทั้งสามเบิกความยืนยันว่าได้เขียนตัวเลขไว้ที่ด้านหลังรูปแผนที่เอกสารหมาย จ.21 จริง โดยตัวเลขจำนวน 400,000 บาท และ 500,000 บาท มีการขีดฆ่าออกคงตัวเลขจำนวน 700,000 บาท ไว้ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่โจทก์ประสงค์จะเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงน่าเชื่อว่านายภาณุสิทธิ์ไปขอโจทก์เพื่อต่อรองลดราคาค่าตอบแทนแก่โจทก์จริง จึงเป็นการสนับสนุนพยานฝ่ายโจทก์พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสาม ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้ไปเป็นพยานเบิกความในศาลรวมทั้งให้ข้อมูลรายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ดินและการดำเนินคดีโดยตกลงให้เงินค่าจ้างโจทก์จำนวน 2,000,000 บาท ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสามข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามประการต่อไปมีว่า ข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสามดังกล่าวเป็นโมฆะเพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นผู้เคยช่วยติดต่อหาซื้อที่ดินให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 และนายสง่า ทั้งยังเป็นผู้ดูแลและหาคนมาเช่าที่ดิน โจทก์จึงเป็นผู้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าว การที่จำเลยทั้งสามไปหาข้อมูลรายละเอียดข้อเท็จจริงจากโจทก์ และโจทก์ยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับทนายความและติดตามหาบุคคลที่เกี่ยวข้องไปเป็นพยาน ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 งานของโจทก์เป็นงานรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับคดี ส่วนที่โจทก์ต้องไปเบิกความเป็นพยานในฐานะเป็นผู้รู้รายละเอียดข้อเท็จจริงก็เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องที่ต้องกระทำ งานที่โจทก์ปฏิบัติไม่ขัดต่อกฎหมายเรื่องการรับฟังพยานหลักฐานทั้งไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งห้ามคู่ความให้ค่าตอบแทนแก่พยาน ซึ่งตามข้อเท็จจริงการที่ฝ่ายจำเลยทั้งสามตกลงให้ค่าตอบแทนในการทำงานแก่โจทก์เป็นเงิน 2,000,000 บาท ก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายจำเลยทั้งสามเสนอผลประโยชน์ให้แก่โจทก์เอง โจทก์มิได้เรียกร้องเอาจากจำเลยทั้งสามแต่อย่างใด ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าวมิใช่ทรัพย์สินที่พิพาทหรือคำนวณเป็นอัตราส่วนเอาจากทรัพย์สินที่พิพาท เมื่อเทียบกับมูลค่าทรัพย์สินที่ฝ่ายจำเลยทั้งสามจะได้รับคืนและจำนวนคดีที่จำเลยทั้งสามเป็นความซึ่งใช้เวลานาน 8 ถึง 9 ปี ค่าตอบแทนที่จำเลยทั้งสามเสนอให้แก่โจทก์จึงไม่สูงจนเกินไปนัก ดังนั้น ข้อตกลงที่จำเลยทั้งสามว่าจ้างโจทก์ให้เบิกความเป็นพยาน ให้คำปรึกษา และให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีตามความเป็นจริงโดยจะให้ค่าจ้างเป็นเงิน 2,000,000 บาท จึงไม่เป็นการแสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่เป็นโมฆะแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยทั้งสามฎีกาอ้างว่าจำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินบางแปลงแทนจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการต้องรับผิดแล้วจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเพียงตัวแทนจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงจำเลยที่ 2 เป็นภริยาของจำเลยที่ 1 และร่วมตกลงว่าจ้างโจทก์ให้เป็นพยานให้คำปรึกษาและให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีด้วย จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดในฐานะเป็นผู้ร่วมว่าจ้าง กรณีมิใช่เรื่องตัวการตัวแทนแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยให้เหตุผลมาโดยละเอียด ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยทั้งสามทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน