คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9319/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลังจากที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองแล้ว โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองทิ้งฟ้องฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องดังกล่าวว่า จำเลยทั้งสองนำส่งสำเนาคำฟ้องฎีกาแล้ว ค่าคำร้องเป็นพับ อันมีผลเป็นการยกคำร้องของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวต่อศาลฎีกา ที่จำเลยทั้งสองแก้อุทธรณ์ว่าโจทก์ทั้งสองต้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์นั้น ปัญหาดังกล่าวเป็นกระบวนพิจารณาที่เกี่ยวเนื่องกับฎีกาของจำเลยทั้งสอง เนื่องจากหากฟังว่าจำเลยทั้งสองทิ้งฟ้องฎีกา ศาลฎีกาก็ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวต่อศาลฎีกาได้ การพิจารณาสั่งว่าจำเลยทั้งสองทิ้งฟ้องฎีกาหรือไม่ เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลฎีกา ที่ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องของโจทก์ทั้งสองดังกล่าวเสียเอง จึงเป็นการไม่ชอบ แต่คดีนี้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสอง โดยให้จำเลยทั้งสองนำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ทั้งสองภายใน 7 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฟ้องฎีกาและจำเลยทั้งสองได้เสียค่าธรรมเนียมในการส่งสำเนาฟ้องฎีกาเมื่อล่วงพ้นกำหนด 7 วันไปแล้ว ซึ่งถือได้ว่าจำเลยทั้งสองทิ้งฟ้องฎีกาซึ่งศาลฎีกามีอำนาจจำหน่ายคดีได้ก็ตาม แต่การจะจำหน่ายคดีหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล คดีนี้ปรากฎว่าจำเลยทั้งสองเสียค่าธรรมเนียมในการส่งสำเนาฎีกาเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2543 ภายหลังล่วงพ้นระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดเพียง 2 วัน ในขณะที่ยังไม่มีการจำหน่ายคดี ทั้งต่อมาในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2543 เจ้าหน้าที่ศาลก็ได้ไปส่งสำเนาฎีกาให้แก่โจทก์ทั้งสองและส่งได้ ศาลฎีกาจึงไม่เห็นสมควรที่จะสั่งจำหน่ายคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินภายในเส้นสีแดงตามรูปแผนที่ท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ทั้งสอง ห้ามจำเลยทั้งสองเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป กับให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนเสาปูนซีเมนต์ที่นำมาปักไว้ดังกล่าวออกไปจากที่ดินโจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า นายวินัย ไม่มีอำนาจขายที่ดินตามฟ้อง การครอบครองที่ดินตามฟ้องของโจทก์ทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินบริเวณที่พิพาทจากนายวินัย หากโจทก์ทั้งสองได้ที่ดินมีความกว้างยาวไม่ถูกต้องตามสัญญาก็เป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองจะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่นายวินัย เพราะจำเลยทั้งสองมิได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ ๒ ได้ซื้อที่ดิน น.ส.๓ข. เลขที่ ๕๑๒ จากนายวินัยโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนทั้งจำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำการใดอันเป็นการโต้แย้งการครอบครองที่ดินของโจทก์ ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกที่ดินโจทก์ทั้งสองภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องไม่เป็นความจริง เนื่องจากจำเลยทั้งสองกระทำการแสดงการครอบครองที่ดินดังกล่าวของจำเลยทั้งสองไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสองแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์ทั้งสองและคำให้การของจำเลยทั้งสองแล้ว เห็นว่าคดีพอที่จะวินิจฉัยได้ จึงมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษายกฟ้องค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษายกคำสั่งให้งดสืบพยานและคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาสั่งในคราวเดียวกัน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ปรากฏว่า หลังจากที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองแล้ว โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองทิ้งฟ้องฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องดังกล่าวว่า จำเลยทั้งสองนำส่งสำเนาคำฟ้องฎีกาแล้ว ค่าคำร้องเป็นพับ อันมีผลเป็นการยกคำร้องของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวต่อศาลฎีกา ที่จำเลยทั้งสองแก้อุทธรณ์ว่าโจทก์ทั้งสองต้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์นั้น เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นกระบวนพิจารณาที่เกี่ยวเนื่องกับฎีกาของจำเลยทั้งสอง เนื่องจากหากฟังว่าจำเลยทั้งสองทิ้งฟ้องฎีกา ศาลฎีกาก็ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวต่อศาลฎีกาได้ ในปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่า การพิจารณาสั่งว่าจำเลยทั้งสองทิ้งฟ้องฎีกาหรือไม่ เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลฎีกา ที่ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องของโจทก์ทั้งสองดังกล่าวเสียเอง จึงเป็นการไม่ชอบ แต่คดีนี้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสอง โดยให้จำเลยทั้งสองนำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ทั้งสองภายใน ๗ วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฟ้องฎีกาและจำเลยทั้งสองได้เสียค่าธรรมเนียมในการส่งสำเนาฟ้องฎีกาเมื่อล่วงพ้นกำหนด ๗ วันไปแล้ว ซึ่งถือได้ว่าจำเลยทั้งสองทิ้งฟ้องฎีกาซึ่งศาลฎีกามีอำนาจจำหน่ายคดีได้ก็ตาม แต่การจะจำหน่ายคดีหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล คดีนี้ปรากฎว่าจำเลยทั้งสองเสียค่าธรรมเนียมในการส่งสำเนาฎีกาเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ ภายหลังล่วงพ้นระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดเพียง ๒ วัน ในขณะที่ยังไม่มีการจำหน่ายคดี ทั้งต่อมาในวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ เจ้าหน้าที่ศาลก็ได้ไปส่งสำเนาฎีกาให้แก่โจทก์ทั้งสองและส่งได้ ศาลฎีกาจึงไม่เห็นสมควรที่จะสั่งจำหน่ายคดี อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษายกคำสั่งให้งดสืบพยานและคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วพิพากษาตามรูปคดีชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ทั้งสองอ้างว่านายวินัย วุฒิ ได้แบ่งขายและมอบการครอบครองที่ดินพิพาทภายในเส้นสีเขียวตามรูปแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒ ให้แก่โจทก์ทั้งสองครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา ต่อมาจำเลยทั้งสองได้บุกรุกเข้าไปปักเสาในที่ดินพิพาทภายในเส้นสีแดงตามรูปแผนที่สังเขปท้ายฟ้องซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินพิพาทภายในเส้นสีเขียว จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทภายในเส้นสีแดงเป็นที่ดินของจำเลยที่ ๒ ดังนี้แม้จะปรากฏตามคำฟ้องว่า ภายหลังจากที่โจทก์ทั้งสองแบ่งซื้อและรับมอบการครอบครองที่ดินพิพาทภายในเส้นสีเขียวมาจากนายวินัยแล้ว นายวินัยได้ดำเนินการแบ่งที่ดินส่วนที่โจทก์ทั้งสองแบ่งซื้อออกมาเป็น น.ส. ๓ ข. เลขที่ ๕๑๑ หมู่ที่ ๒ ตำบลขุนทะเล อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี และได้จดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ทั้งสองโดยที่ดินพิพาทภายในเส้นสีแดงตามรูปแผนที่สังเขปท้ายฟ้องอยู่นอกเขตที่ดินตาม น.ส. ๓ ข. เลขที่ ๕๑๑ ก็ตาม คดีก็ยังมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทภายในเส้นสีแดงตามรูปแผนที่สังเขปท้ายฟ้องหรือไม่ ซึ่งจะต้องฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่คู่ความทั้งสองฝ่ายนำสืบต่อไปจนสิ้นกระแสความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษายกคำสั่งให้งดสืบพยานและคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่

นางสาวสุดรัก สุขสว่าง ย่อ
นายรัถยา สัตยาบัน ผู้ตรวจร่างคำพิพากษา
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ผู้ตรวจย่อข้อกฎหมาย
นายชินวิทย์ จินดา แต้มแก้ว ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

Share