คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในชั้นฎีกาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง มิได้บัญญัติให้อธิบดีผู้พิพากษาภาคมีอำนาจอนุญาตให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ และบุคคลผู้มีอำนาจรับรองหรืออนุญาต ให้ฎีกานี้มาตราดังกล่าวก็บัญญัติไว้ชัดแจ้งแล้วว่ามีบุคคลใดบ้าง จึงไม่จำต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยผู้มีอำนาจอนุญาตให้อุทธรณ์ ในข้อเท็จจริงมาใช้บังคับโดยอนุโลม คำว่า ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์และอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งหมายถึงผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาคและอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ด้วยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์ภาค พ.ศ. 2532 มาตรา 8 ซึ่งการยื่นขอให้รับรองหรืออนุญาตตามมาตรานี้จะต้องยื่นภายใน กำหนดอายุฎีกา แต่การที่จำเลยทั้งสองขอให้อธิบดีผู้พิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับรองหรืออนุญาตให้ฎีกาหลังจากที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองแล้ว ซึ่งในชั้นฎีกา ไม่มีบทบัญญัติโดยตรงในเรื่องนี้เหมือนเช่นในชั้นอุทธรณ์ ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 230 วรรคสามจึงต้องนำมาตรา 230 วรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลมตามที่ บัญญัติไว้ในมาตรา 247 ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ผู้ฎีกาชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นถึงอธิบดีผู้พิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ภายใน 7 วัน เมื่อศาลชั้นต้นได้รับคำร้อง เช่นว่านั้นก็ต้องส่งคำร้องนั้นพร้อมด้วยสำนวนความไปยังอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เพื่อมีคำสั่งยืนตามหรือกลับคำสั่ง ของศาลชั้นต้น

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า นิติกรรมการจดทะเบียนยกให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 19159 ตำบลสวนกล้วยอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2ตามหนังสือสัญญาให้ที่ดินลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2537 เป็นโมฆะให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนเพิกถอน หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนและให้จำเลยที่ 2 คือโฉนดที่ดินแก่โจทก์จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองยื่นฎีกาฉบับลงวันที่ 25 มีนาคม 2541 พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงผู้พิพากษาที่ได้พิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์ภาค 3ไม่รับรอง ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง
ต่อมาวันที่ 6 สิงหาคม 2541 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาและเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2541จำเลยทั้งสองยื่นคำร้อง 2 ฉบับ ฉบับแรกมีข้อความว่าจำเลยทั้งสองประสงค์ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 3 รับรองฎีกา ขอให้ศาลชั้นต้นส่งคำร้องและสำนวนคดีนี้ไปให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 3 พิจารณาส่วนฉบับที่ 2 มีข้อความว่าจำเลยทั้งสองประสงค์ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับรองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องฉบับแรกว่า “ตามคำร้องไม่ปรากฏว่าอธิบดีผู้พิพากษาภาค 3เกี่ยวข้องกับการขอให้รับรองฎีกาในข้อเท็จจริงได้อย่างไรจึงให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ” ส่วนคำร้องฉบับหลังศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งประการใด
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง โดยได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า ศาลชั้นต้นต้องส่งคำร้องของ จำเลยทั้งสองที่ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 3 รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงพร้อมสำนวนคดีนี้ไปให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 3 พิจารณาหรือไม่เห็นว่า ในชั้นฎีกาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง มิได้บัญญัติให้อธิบดีผู้พิพากษาภาคมีอำนาจอนุญาตให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ดังเช่นในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง และกรณีเกี่ยวกับบุคคลผู้มีอำนาจรับรองหรืออนุญาตให้ฎีกานี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่ามีบุคคลใดบ้าง ไม่จำต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยผู้มีอำนาจอนุญาตให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงมาใช้บังคับโดยอนุโลมดังที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสองจึงชอบแล้วอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองประการต่อไปมีว่า ศาลชั้นต้นต้องส่งคำร้องของ จำเลยทั้งสองที่ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงพร้อมสำนวนคดีนี้ไปให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้มีใจความว่า คดีที่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ถ้าไม่มีความเห็นแย้งของผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลอุทธรณ์ ผู้ฎีกาอาจขอให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้ ถ้าไม่มีคำรับรองเช่นว่านี้ต้องได้รับอนุญาตให้ฎีกาเป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ คำว่าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์และอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ในมาตรานี้หมายถึงผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาคและอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาคด้วยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์ภาค พ.ศ. 2532 มาตรา 8ซึ่งการยื่นขอให้รับรองหรืออนุญาตตามมาตรานี้จะต้องยื่นภายในกำหนดอายุฎีกา แต่ในกรณีของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับรองหรืออนุญาตให้ฎีกาหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองแล้ว ซึ่งในชั้นฎีกาไม่มีบทบัญญัติโดยตรงในเรื่องนี้อย่างเช่นในชั้นอุทธรณ์ที่ได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 230 วรรคสาม จึงต้องนำมาตรา 230 วรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลมตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 247 กล่าวคือ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ผู้ฎีกาชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ภายใน 7 วัน เมื่อศาลชั้นต้นได้รับคำร้องเช่นว่านั้น ศาลชั้นต้นต้องส่งคำร้องนั้นพร้อมด้วยสำนวนความไปยังอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เพื่อมีคำสั่งยืนตามหรือกลับคำสั่งของศาลชั้นต้น ซึ่งก็คือการไม่อนุญาตหรืออนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนั่นเอง คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาวันที่ 13 พฤษภาคม 2541 แต่จำเลยทั้งสองทราบคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2541 และยื่นคำร้องขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 อนุญาตให้ฎีกาเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2541 ต้องถือว่าเป็นการยื่นภายในกำหนดเวลา ศาลชั้นต้นย่อมมีหน้าที่ส่งคำร้องดังกล่าวพร้อมด้วยสำนวนความไปยังอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เพื่อพิจารณาและมีคำสั่งต่อไป การที่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งประการใดในคำร้องของ จำเลยทั้งสองและมิได้ส่งคำร้องดังกล่าวพร้อมสำนวนคดีนี้ไปยังอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาและมีคำสั่ง จึงเป็นการไม่ชอบอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ศาลชั้นต้นส่งคำร้องของ จำเลยทั้งสองฉบับลงวันที่ 10 สิงหาคม 2541 ที่ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 อนุญาตให้ฎีกา พร้อมสำนวนคดีนี้ไปให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาและมีคำสั่ง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share